Author Archives: ZunWu
Roland TD-17KVX กลองไฟฟ้า
ขายเพียง  64,000฿ จาก  80,000฿Roland TD-17KV กลองไฟฟ้า
ขายเพียง  48,000฿ จาก  60,000฿7 แอปพลิเคชั่นน่าใช้สำหรับนักดนตรี
ปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวล้ำไปค่อนข้างไกลมาก ซึ่งนักดนตรีอย่างเราๆก็ต้องปรับตัวเข้ากับยุคสมัยให้ได้ จึงหมดยุคแล้วสำหรับนักดนตรีที่แกะเพลงแบบกรอเทป เพราะปัจจุบันมีตัวช่วยเจ๋งๆอยู่เพียบไม่ว่าจะเป็น Youtube หรือ แท็ปกีต้าร์ เบส กลอง ให้เล่นตามกันแบบฟรีๆ จนไปถึงอุปกรณ์ต่างๆเช่นตัวแอมป์ก็จะมีฟังค์ชั่นแบ็คกิ้งแทรคหรือสามารถเสียบ MP3 ได้อีกด้วย 1 ใน นวัตกรรมใหม่ๆก็คงไม่พ้นเจ้าแอปพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือซึ่งใกล้ตัว ปัจจุบันได้มีแอปพลิเคชั่นหลายตัวที่ทำออกมาเพื่อนักดนตรีโดยเฉพาะ วันนี้เราจะพาไปแนะนำว่าแอปตัวไหนที่ได้รับความนิยมบนโลกออนไลน์กันมากจนต้องแนะนำให้ใช้และคุณอาจต้องร้องว้าว !!!

Guitar Tuna
แอปพลิเคชั่นสำหรับตั้งสาย ใช้ได้ทั้งกีต้าร์ เบส และอูคูเลเล่ ปัจจุบันยอดดาวโหลดทะลุ 5000 ล้านครั้งไปแล้ว ทำให้มั่นใจได้ว่าเจ้าแอปตัวนี้จะช่วยให้คุณตั้งสายได้ตรงตามมาตรฐาน นักดนตรีหลายๆคนโหลดติดเครื่องเอาไว้ใช้งาน ซึ่งเวลาไปซ้อมหรือขึ้นคอนเสิร์ตหากมี Guitar Tuna ก็สามารถเซ็ทอัพกีต้าร์เสร็จสรรพภายในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น
Lyrically
แอปพลิเคชั่นนี้สำรองเนื้อเพลงกว่าล้านเพลงทั่วโลกรวมไปถึงมีคอร์ดและโน๊ตมาให้ ทำให้เป็นที่นิยมของนักดนตรีเพราะแค่โหลดติดเครื่องเอาไว้ก็เหมือนพกหนังสือเพลงติดตัว ข้อเสียของนักดนตรีบ้านเราคือเจ้าแอปนี้ค่อนข้างอินเตอร์จึงไม่มีเพลงไทยเท่าไหร่นัก แต่หากใครชอบเล่นเพลงสากลหรือต้องการแทป, โน๊ตเพลงไว้แกะเพลงสากลยากๆ ขอบอกว่าโหลดแล้วไม่ผิดหวังแน่นอน

Pro Metronome
เมโทรโนม หรือการเคาะจังหวะถือเป็ฯหัวใจสำคัญของการเล่นดนตรีอยู่แล้ว และแอปพลิเคชั่นตัวนี้สามารถตอบโจทย์ได้อย่างดี เพราะเมื่อคุณโหลดแล้วจะเหมือนมีเมโทรโนมติดตัวอยู่ตลอดเวลา ฟังค์ชั่นการใช้งานค่อนข้างง่าย สามารถปรับระดับความเร็วของจังหวะได้ตามต้องการ และยังมี Poly Rhythm ที่สามารถใส่ทำนองเพลงของเราควบคู่ไปกับจังหวะได้อีกด้วย แหม!!! เทคโนโลยีก้าวล้ำไปขนาดนี้แล้ว การซ้อมคนเดียวจึงเป็นเรื่องง่ายๆแค่โหลดเจ้าตัวนี้

RecForge Pro
แอปพลิเคชั่นสำหรับอัดเสียงที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก เพราะเจ้าแอปตัวนี้สามารถแปลงไฟล์เสียงได้ทุกประเภทบนโลกไม่ว่าจะเป็น MP3, WAV หรือ OGG ซาวด์ที่ออกมาก็มีคุณภาพดีอีกด้วย แค่โหลดแอปแล้วต่อพ่วงเข้ากับแอมป์ก็สามารถอัดเพลงที่คุณเล่นเก็บไว้ฟังหรือหาจุดที่ต้องแก้ไขได้แบบสบายๆ หรือจะเสียบไมโครโฟนเอาไว้ร้องเพลงก็ยังทำได้อีกด้วย

Walk Band
แอปนี้ก็ตรงตามชื่อเลยคือเหมือนคุณจะมีวงดนตรีเคียงข้างไปตลอด เพราะโหลดมาเสร็จแล้วจะมีฟังค์ชั่นเป็นเครื่องดนตรียอดฮิตจำลองในมือถือไม่ว่าจะเป็น กีต้าร์ เบส กลอง รวมไปถึงคีย์บอร์ด ทำให้สามารถเลือกเล่นเครื่องดนตรีได้ตามความชอบ หรือจะมิกซ์ซาวด์ทีละอย่างแล้วเอามารวมกันเป็นวงก็ยังทำได้ ล้ำซะขนาดนี้แล้วคนเดียวก็ไม่ใช่ปัญหาในการตั้งวงอีกต่อไป

DJ Studio 5
เอาใจขาแด๊นซ์กันหน่อยด้วยแอป DJ Studio ซึ่งปัจจุบันก็ออกมาถึงเวอร์ชั่น 6 แล้ว แสดงให้เห็ฯถึงการตอบรับจากผู้ใช้อย่างดี แอปพลิเคชั่นตัวนี้เหมือนยกตัวอุปกรณ์ทั้งหมดของ DJ มาวางไว้ในโทรศัพท์ ทำให้คุณสามารถฝึกฝีมือหรือบางคนก็อาจให้เป็นตัวเริ่มเล่นใช้ชำนาญก่อนจะไปลองซื้อของจริง

Caustic 3
นี่คือแอปพลิเคชั่นสำหรับนักดนตรีที่ได้รับรางวัลในปี 2016 การทำงานของมันคือสามารถทำเพลงขึ้นมาได้ด้วยตนเอง แต่การใช้งานจะค่อนข้างยุ่งยากเล็กน้อยสำหรับมือใหม่ เพราะฟังค์ชั่นแทบทั้งหมดจะทำให้คุณเหมือนเป็นโปรดิวเซอร์ทันทีไม่ว่าจะเป็น Synthesizer ที่ใช้เลือกซาวด์ หรือ Vocoder ที่สามารถปรับคลื่นเสียงและเมโลดี้ได้ แต่หากชำนาญและรักในการแต่งเพลงแล้วล่ะก็ เจ้าแอปตัวนี้คือสุดยอดแอปในฝันของคุณอย่างแท้จริง
ดังนั้นนักดนตรีปัจจุบันนอกจากการฝึกซ้อมเครื่องดนตรีที่ตนเองชื่นชอบแล้ว ยังต้องแบ่งเวลามาสนใจในเรื่องของเทคโนโลยีกันซักเล็กน้อย ซึ่งเทคโนโลยีหลายๆอย่างมีส่วนช่วยให้นักดนตรีมีคุณภาพขึ้น หากไม่อยากเป็นคนตกยุคก็ต้องเรียนรู้กันรอบด้านเลยทีเดียว เพราะหากคุณเชี่ยวชาญทั้งสองด้านแล้ว ความรู้หรือการประยุกต์ใช้ก็จะพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วส่งผลให้เป็นนักดนตรีที่มีคุณภาพสูงในสังคม
Saga SA700CE กีตาร์โปร่งไฟฟ้า
ขายเพียง  7,920฿ จาก  8,800฿Roland HPD-20 กลองไฟฟ้าแบบแพด
ขายเพียง  38,400฿ จาก  48,000฿Fender Mustang GT-100
ขายเพียง  15,750฿ จาก  17,500฿กลองใหญ่ Regent 16 นิ้ว 6 หลัก ขอบไม้ธงชาติสีฟ้า เกลียวสั้น
Fender Redondo Player กีตาร์โปร่งไฟฟ้า
ขายเพียง  14,400฿ จาก  16,000฿หลักการทำงานของอุปกรณ์ในระบบเสียง PA เบื้องต้น

หลักการทำงานของอุปกรณ์ในระบบเสียง PA เบื้องต้น
ส่วนประกอบพื้นฐานในระบบสัญญาณเสียง
1. Tranducer อุปกรณ์แปลงสัญญาณเสียงให้เป็นพลังงานไฟฟ้าเช่น ไมโครโฟน หรือ เครื่องเล่น CD
2. Mixing อุปกรณ์รวมสัญญาณและผสมเสียง เช่น Mixer, Effect และ Processor
3. Amplification ระบบขยายสัญญาณเสียงเพื่อที่จะออกไปยังลำโพง
4. Output อุปกรณ์ให้เสียง เช่น ลำโพง

Microphone (ไมโครโฟน)
โดยปกติที่นิยมใช้งานมี 2 แบบ
1. Dynamic Microphones
– เป็นไมโครโฟนที่ใช้งานง่าย ทนทาน
– ใช้งานได้โดยไม่ต้องใช้ไฟฟ้า (Phantom Power)
– ราคาไม่แพงมากนัก
– มีแกนแม่เหล็กและขดลวดพันรอบ มีไดอะแกรม
– เมื่อเสียงปะทะแกนแม่เหล็กจะเกิดเสียง
2. Condenser Microphones
– รับสัญญาณได้ดี ในทุกย่านความถี่ (20Hz- 20KHz)
– ต้องใช้ Phantom Power (+48V)
– เป็นอุปกรณ์บอบบาง ต้องระวังการกระแทกและความชิ้น
– ภายในเป็นแผ่นรับเสียงไดอะแกรม 2 แผ่นบางๆขั้วบวกและลบ
– เมื่อใช้ไฟฟ้าแผ่นไดอะแกรมจะทำงานทำให้เกิดเสียง

รูปแบบการรับสัญญาณไมโครโฟนหลักๆจะ มี 4 แบบ
1. Cardioid รับสัญญาณด้านเดียว ไมโครโฟนประเภทนี้จะรับสัญญาณเสียงได้ดีที่สุดทางด้านหน้า ต่อเนื่องไปยังด้านข้าง (ที่มุม 90 องศา เสียงจะลดลงประมาณ 6 dB) ส่วนทางด้านหลังนั้นไม่รับเสียงเลย ดังนั้นรัศมีการรับเสียงจะเป็นลักษณะแบบรูปหัวใจ การที่เป็นไมค์ที่ไม่รับเสียงจากด้านหลัง จึงมีความเหมาะสมที่จะนำไปใช้ในสถานการณ์ที่ต้องใช้ไมค์หลายๆ ตัวร่วมกัน และ ไม่ต้องการที่จะบันทึกเสียงบรรยากาศของห้องเข้ามามากๆ
2. Hypercardioid มีลักษณะคล้าย Cardioid ตรงที่จะรับเสียงได้ดีมากที่สุดด้านหน้า แต่สิ่งที่แตกต่างคือ จะรับสัญญาณเสียงได้น้อยที่ด้านข้างทั้งสองข้าง คือ ประมาณตำแหน่งองศาที่ 150 – 160 และ 200 – 210 Hypercardioid มักจะนิยมใช้ในกรณีที่ต้องการทิศทางการรับเสียงที่แคบกว่า Cardioid และ Supercardioid มีรัศมีการรับเสียงแบบนี้ มักนิยมใช้ในสถานการณ์ที่ต้องการแยกการบันทึกเครื่องดนตรีที่อยู่ใกล้กันมาก เป็นต้น
3.Supercardioid มีรัศมีการรับเสียงด้านหน้าที่แคบกว่า Cardioid แต่จะมีลักษณะที่คล้ายกับ Hypercardioid มาก ต่างกันตรงที่ รัศมีการรับเสียงที่ด้านหลังจะแคบกว่ามาก
4. Figure 8 ไมโครโฟนประเภทนี้ รับสัญญาณได้เกือบเท่ากัน ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แต่จะรับได้น้อยมาก ที่ด้านข้าง พื้นที่การรับเสียงจึงมีลักษณะคล้ายกับเลข 8 ที่จุดตัดกันของเลข 8 เป็นตำแหน่งของไมโครโฟน ไมโครโฟนประเภทนี้ยังถูกเรียกได้ในอีกชื่อหนึ่งคือ Bi-Directional แนวการใช้งานนั้นสามารถใช้กับการร้องของนักร้องสองคนโดยแต่ละคนในแต่ละด้านของไมค์หรือการอัดเสียงเครื่องดนตรีโดยด้านหนึ่งรับเสียงจากเครื่องดนตรีและอีกด้านหนึ่งจับบรรยากาศของห้อง เป็นต้น

ขั้วต่อ สัญญาณเสียง
หัวแจ็คหลักๆในการต่อสัญญาณเสียงมี 4 แบบ คือ แบบ XLR, แบบ Phone, แบบ RCA และแบบ USB
ชนิดของ Mixer มี 4 แบบ
1. Analog Mixer เป็นระบบวงจรไฟฟ้าภายใน ใช้งานง่าย
2. Digital Mixer เป็นระบบวงจรไฟฟ้ารวมกับข้อมูล มีระบบการใช้งานที่ยุ่งยากขึ้น
3. Power Mixer เป็น Mixer ที่รวมกับ Power Amp
4. All in one Mixer เป็น Mixer ที่สามารถขับกำลังเสียงและให้เสียงได้ในตัวแบบครบชุด

Equalizers คือการปรับระดับสัญญาณเสียง โดยปกติจะแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ เสียงต่ำ เสียงกลางและเสียงสูง โดยบางครั้งอาจมีการแบ่งเป็น High Mid และ Low mid
เสียงต่ำ คือกลุ่มสัญญาณเสียงในระดับต่ำกว่า 100 Hz เป็นกลุ่มย่านเสียงต่ำของเครื่องดนตรี มวลของเสียงจะมีขนาดใหญ่และหนา หากเพิ่มมากขึ้นจะฟังเบลอไม่คมชัด
เสียงกลาง คือกลุ่มสัญญาณเสียงตั้งแต่ 250 Hz ถึง 5 KHz เป็นกลุ่มย่านเสียงปกติของเครื่องดนตรีและนักร้อง โครงร่างเสียงจะชัดเจน มีพลัง
เสียงสูง คือกลุ่มสัญญาณเสียงตั้งแต่ 10 KHz โดยจะเป็นเสียง Overtones ของเครื่องดนตรี ให้เสียงเครื่องโลหะชัดเจน เนื้อเสียงมีความคม หากลดมากไปเสียงจะฟังดูไม่โปร่ง
Trick ในการเลือกเครื่องเสียงที่ดีควรเลือกลำโพงที่มีกำลังขับที่ต้องการ จากนั้นจึงเลือกตัว Power Amp ที่เหมาะสมกับลำโพงนั้นๆ
แหล่งที่มา Yamaha Pro Audio Thailand
พื้นฐานสัญญาณเสียง

พื้นฐานสัญญาณเสียง
ธรรมชาติของเสียงในอากาศจะมาเป็นลักษณะคลื่นขึ้น/ลง ซึ่งจะมีความเข้มหรือความเบาบางสลับกันไป หากความเข้มของเสียงสูง เสียงจะมีความดัง ในขณะที่ความเข้มต่ำ เสียงจะเบา
การเป็นผู้ทำงานด้านเสียงควรจะมีคุณสมบัติดังนี้
1. ชื่นชอบการฟัง / รักในเสียงดนตรี
2. มีความเข้าใจในความแตกต่างของดนตรีแต่ละแนว
3. ตระหนักถึงความเป็นดนตรีและความมุ่งหมายของผู้แสดงเป็นหลัก
4. เป็นผู้ที่พร้อมช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ
5. ไม่ควรมี Ego ควรตระหนักถึงการเรียนรู้
6. แสวงหาสิ่งแปลกใหม่เสมอ
7. มีไหวพริบ ทักษะ
8. มีมุมมองในด้านกว้าง พร้อมเปิดใจรับฟังสิ่งใหม่และเพื่อนร่วมงาน

คลื่นเสียงจะแบ่งเป็นสองส่วน
1. Amplitude หรือ dB เป็นขนาดความดังหรือความเข้มของเสียง
2. ความยาวคลื่น โดยคลื่นเสียงจะเดินทางเป็นลักษณะคลื่นวน 1 รอบ เป็น 360 องศา ค่าความถี่เสียงมีหน่วยเป็น Hz หรือ เฮิร์ซ หมายความว่า เสียงเดินทางกี่รอบใน 1 วินาที หากเสียงเดินทางหลายรอบจะเรียกว่า High-pitched sound หรือคลื่นความถี่สูง ลักษณะเสียงจะสูง โดยปกติแล้วระดับเสียงที่คนฟังได้คือ 20-20000 Hz แต่จะได้ยินมากสุดที่ 500-6000 Hz
หลักการคำนวณคลื่นเสียงมีสูตรคือ ความยาวคลื่น (m) = ความเร็วเสียง (m/s) / ความถี่เสียง (Hz)
![]()
Phase คือ ระยะห่างของจุดเริ่มต้นของคลื่นสัญญาณเสียง 2 คลื่น หรือระยะเวลาการเริ่มต้นของคลื่นสัญญาณเสียง 2 คลื่น คำว่าระยะห่างคือ ระยะที่คลื่นสัญญาณเสียงกำเนิดออกมา 2 คลื่นสัญญาณที่มีระยะห่างเราวัดกันเป็นองศาว่าห่างกันกี่องศา หรือระยะเวลาทีี่คลื่นเสียงเกิดขึ้นใช้เวลาห่างกันเท่าไหร่ เราเปรียบเทียบหรือวัดความถี่ใดความถี่หนึ่งเท่านั้น เรื่องของ Phase นี้เราสามารถแบ่งออกได้หลักๆ 3 รูปแบบคือ
1. In Phase คือลักษณะของคลื่นเสียง 2 คลิื่นสัญญาณเกิดขึ้นพร้อมกันในเวลาเดียวกันโดยมีทำให้องศาที่เกิดขึ้นตรงกันคือ 0 องศา สิ่งที่ได้คือ คลื่นเสียง 2 คลื่นสัญญาณเมื่อรวมตัวกันคลื่นจะใหญ่ขึ้น นั่นเท่ากับว่าเสียงที่เราได้จะดังขึ้นอีกเท่าตัวนั่นคือ 3dB อธิบายง่ายคือ ถ้า Phase ตรงกัน เสียงจะดังขึ้นโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง

2. Out of Phase คือลักษณะของคลื่นเสียง 2 สัญญาณเกิดในเวลาที่ต่างกันและระยะห่างของจุดกำเนิดคลื่นมีถึง 180 องศา ทำให้คลื่นเสียงที่ได้มีเสียงเบาถึงระดับ 0dB ในความถี่ใดความถี่หนึ่ง ทำให้เราไม่สามารถได้ยินเสียงนั้นได้ โดยปกติส่วนมากการเกิด Out of Phase นั้นมักจะเกิดจากการทำสายสัญญาณสลับขั้วกัน
3. Phase Shift คือลักษณะของคลื่นเสียง 2 คลื่นสัญญาณเกิดขึ้นในเวลาที่ต่างกันและระยะห่างของจุดกำเนิดคลื่นเริ่มต้นตั้งแต่ 1 องศาไปเรื่อยๆแต่ไม่ถึง 180 องศา ทำให้เสียงบางช่วงก็ดังขึ้นและบางช่วงก็เบาลง ซึ่งในงาน Live ที่เราทำอยู่ในปัญจุบันจะไม่สามารถหลีกหนีเรื่องของ Phase Shift ไปได้เลย และ Phase Shift นี่แหละที่ทำให้เสียงเกิดมิติเสียง Stereo ขึ้นมาทำให้เพลงนั้นน่าฟังมากขึ้น

ค่าความดังของเสียงจะเพิ่มขึ้น 3 dB เสมอ โดยการจะทำให้เพิ่ม 3 dB จะต้องเพิ่มพลังงานแหล่งกำเนิดเสียงเป็น 2 เท่า เช่น ใช้ลำโพง 1 ตัว ให้เสียง 60 dB แต่หากเพิ่มลำโพงมาอีก 1 ตัว เสียงที่ได้จะไม่ใช่ 120 dB โดยจะเพิ่มเป็น 63 dB เท่านั้น
แหล่งที่มา Yamaha Pro Audio Thailand
