หยุดฝึกก่อนดีไหม ถ้าคุณมีพฤติกรรมแบบนี้!

‘ผลจากการวิจัย* พบว่า การทำอะไรซ้ำ ๆ ทำให้เราเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้แย่ลง!’

ภาพจาก shutterstock

ภาพจาก shutterstock

ตามที่เค้าวิจัยออกมา อาจจะจริงอยู่ว่าการจะจดจำอะไรสักอย่างหนึ่งย่อมมาจากการที่เจอกับมันซ้ำ ๆ แต่ในขณะเดียวกัน ความสามารถในการจำแนงแจกแจงสิ่งคล้าย ๆ กันดันแย่ลงไปซะเฉย ๆ
นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไม เราควรจะเลิกพฤติกรรมการฝึกที่วนเวียนอยู่กับการทำซ้ำ ๆ ต่อไป อย่าง

1. ทำตัวแบบเทปบันทึกเสียงเจ๊งกะบ๊ง
บางคนพยายามเล่นให้เป๊ะ ด้วยวิธีซ้อมแบบเล่นท่อนเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ที่ tempo ระดับเดิม

2. เข้าโหมดพลขับอัตโนมัติ
หรือบางคนตะแบงเล่นเพลงจนจบเพลง จะผิดจะถูกไม่รู้ แต่ต้องเล่นมันจนจบให้ได้ แต่ไม่ใช่ว่าวิธีนี้จะไม่มีประโยชน์อะไรเอาซะเลย ข้อดีของมันคือ มันทำให้เรามองเห็นภาพรวมชัดเจนขึ้น แต่สิ่งที่ต้องทำหลังจากนั้นคือการค่อย ๆ แกะทีละท่อน และบรรลงเล่นอย่างละเอียดลออ
ถ้าเกิดว่าจมอยู่กับการเล่นมุดหัวจมท้ายไปจนจบ เรียกได้ว่ามีแต่เสียกับเสีย เปลืองเวลาและพลังชีวิตโดยใช่เหตุ

3. เคล้าสองวิธียอดแย่ข้างต้นเข้าด้วยกัน
นี่คืออภิมหาคอมโบประลัย ของการฝึกยอดแย่สองอย่างผสมกัน เล่นแบบมุทะลุไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมจนจบเพลง ซ้ำยังไม่พอเล่นมันซ้ำ ๆ เหมือนบันทึกเทปเสียติดลูป

ผลจากทั้ง 3 ข้อคือ เรียกได้ว่ามีแต่เสียกับเสียกับเสีย, เสียที่หนึ่ง เสียเวลาชีวิต เพราะการฝึกเหล่านี้เป็นการทำซ้ำ ๆ ที่เสี่ยงทำให้อาจเกิดอาการ’ติด’วิธีเล่นผิด ๆ จนแก้ได้ยาก และอาจจะต้องมาเสียเวลาแก้อีก
สอง เสียความมั่นใจ การทำซ้ำ ๆ ลวก ๆ ทำให้เราไม่เข้าใจว่าส่วนยิบส่วนย่อยนั้นมันเล่นเป๊ะ ๆ ยังไงกันแน่ มันทำให้เราไม่กล้าโชว์พาวมาก เสียเซลฟ์ที่สุด
สาม เสียทักษะการเรียนรู้ จากที่จั่วหัวไว้เลย ตามนั้น

และควรทำยังไงล่ะที่นี้?

อีกงานวิจัย** หนึ่งกล่าวว่า ยิ่งเรามีความรู้ที่ ‘กว้าง’ มากเท่าไหร่ ยิ่งจะเป็นเรื่องง่ายในการดึงองค์ความรู้ออกมาจากสิ่งที่พบเจอ

ดังนั้นเราควรจะมี ‘การฝึกอย่างสุขุม’ นี่คือ การเพิ่มความ ‘กว้าง’ ให้กับการฝึก นี่ต่างหาก ไม่ใช่การทำซ้ำ ๆ ซึ่งก็ด้วยการ
– ฝึกอย่างช้า ๆ บรรจง ทำซ้ำ ๆ ให้น้อยที่สุด
– ลงรายละเอียดทีละตัวโน้ต เลือกเฟ้นวิธีที่จะ’บรรยาย’โน้ตแต่ละตัวออกมา กระแทกเกินไป? เบาไป? จะให้โน้ตยาวแค่ไหน?
– พยายามหาวิธีใหม่ ๆ ที่จะพัฒนารายละเอียดแต่ละอย่าง

จะเห็นว่าการฝึกแบบนี้จะเพิ่มความ ‘กว้าง’ ในการบรรยายรายละเอียดลงไปที่แต่ละโน้ต ๆ ไป และเน้นที่ความเป็นตัวเอง ความพอใจในทักษะการยรรยายทางดนตรีของเราเอง

การฝึกที่ทำอะไรซ้ำ ๆ มีแต่บ่อนทำลายความคิดสร้างสรรค์ของเรา ทำให้เรียนรู้สิ่งใหม่ได้แย่ กลับกันการฝึกแบบสุขุม ลงรายละเอียด เลือกสรรบรรจงใส่ด้วยเทคนิคที่กว้าง และใหม่ตลอดเวลา จะสอดรับกับลักษณะการเรียนรู้ที่ผลวิจัยประเมินว่าแล้วว่าดีที่สุด

ลองหันมาฝึกแบบนี้กันดูนะ 😉

==============================================
*Zachariah M. Reagh และ Michael A. Yassa – Repetition strengthens target recognition but impairs similar lure discrimination: evidence for trace competition
**Radboud University Nijmegen – How the brain builds on prior knowledge

ขอขอบคุณ lifehacker.com และ sciencedaily.com

มารู้จักกับ 3 พี่น้องแห่งเอฟเฟค Tremolo

‘เอฟเฟค Tremolo มีอยู่ 3 ประเภท แต่ละประเภทให้เสียงคนละฟีลลิ่งกัน’

ถือเป็นเอฟเฟคที่มีความเก่าสุด ๆ ชนิดหนึ่งเลยทีเดียว มันปรากฏครั้งแรก ๆ ในช่วงยุค 60 ซึ่งมาพร้อมกับฟังก์ชันติดกับแอมป์ ก่อนที่จะถูกบรรจุลงก้อน ๆ อย่างทุกวันมานี้ Tremolo จะให้เสียงแบบกระตุก ๆ เป็นห้วง ๆ ซึ่งให้ฟีลลิ่งแบบเก่า ๆ เพราะมักถูกใช้ในเพลงเก่าบ่อยมาก การจั่วหัวว่าสามพี่น้องคงจะไม่เห็นผิดนัก เพราะทั้งสามตัวมากันคนละปี คลานตามกันมาติด ๆ เราจะมาดูกันว่า Tremolo สามพี่น้อง มีลักษณะต่างกันยังไงบ้าง

BOSS TR-2 TREMOLO

1 Harmonic Tremolo
พี่ใหญ่ ผลิตในปี 1961 มากับแอมป์ Brownface ของ Fender ถือเป็นเอฟเฟคหายาก และอายุสั้น (ถูกเปลี่ยนด้วย Tremolo แบบอื่นไป) เนื่องจากวิธีทำงานที่ยุ่งยาก ด้วยการแบ่งสัญญานเสียงเป็นสองภาค แทรกคลื่นความถี่ต่ำ (LFO) ที่สัญญานแรกซึ่งลูกกรองให้เหลือแต่ย่านเสียงสูง ส่วนอีกสัญญานที่ถูกกรองเหลือย่านต่ำก็แทรกเหมือนกันแต่เป็นคลื่นที่กลับหัวกลับหางจากแบบแรก จากนั้นนำสัญญานสองภาคมารวมกัน ผลที่ได้คือการเน้นย่านเสียงสูง เสียงต่ำ วูบวาบสลับกันไป เป็นเอฟเฟคยำใหญ่ใส่สารพัด เป็นทั้ง Tremolo ก็ไม่ใช่ Vibrato ก็ไม่เชิง Phaser ก็ไม่ชัด

2 Bias Tremolo
น้องรอง ผลิตในปีช่วง 1963 พบในแอมป์หลอด อย่าง Vox ในช่วงแรก ๆ ลูกคลื่นเป็นห้วง ๆ มาจากการปรับกระแสไบแอสกับหลอดสุญญากาศ ซึ่งข้อเสียคือจะทำให้แอมป์อายุสั้น Tremolo นี้ให้คลื่นที่รุ่มรวยนิ่งลึก เป็นเหมือนของเหลวไหลเป็นก้อน ๆ ให้เสียงคล้ายพวกเอฟเฟคตระกูล Uni-vibe
ข้อดีของ Tremolo แบบนี้ ก็คือสัญญานเสียงที่วิ่งตามสายจะไม่ผ่านวงจรใดเลย ๆ และนี่ทำให้ได้เสียงที่เป็นธรรมชาติมาก ๆ

3 Optical Tremolo
น้องคนสุดท้อง ผลิตในช่วง 1965 มากับแอมป์ Blackface ของ Fender เจ้าเก่า เป็นสัญญานเสียงที่ผ่านวงจร Tremolo ที่ข้างในถูกออกแบบมาให้มีตัวรับสัญญานแสง และหลอดไฟที่ถูกตั้งค่าให้ค่อย ๆ สว่างและค่อย ๆ ดับ ตัวรับสัญญานแสงจะตอบรับกับความสว่างของหลอดไฟ และทำให้สัญญานเสียงดังขึ้นหรือลดลงตามความสว่างมากน้อย
ค่อนข้างจะให้เสียงที่หยาบกว่าและไม่ลุ่มลึกเท่ากับพี่ทั้งสองข้างบน แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของ Tremolo แบบ Square Wave

อยากได้สไตล์วินเทจอาจจะต้องมองหาแบบ Harmonic หรืออยากได้แบบสัญญานราบเรียบคงต้อง Bias แต่ถ้าสมัยใหม่ กระตุกหนัก ๆ แบบเพลง Dance แบบ Optical คือคำตอบของเรา ๆ เลย
ถ้ากำลังมองหาเอฟเฟค Tremolo อยู่ ก็หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ จะได้เลือกซาวด์ที่เหมาะเจาะกับเรา ๆ ได้นะ

=======================================
ขอขอบคุณ carlscustomamps.com, strymon.net และ premierguitar.com

Chorus Effect เอฟเฟคที่เสียงเปลี่ยนไปตามกาลเวลา

“เมื่อเลือกจะมีเอฟเฟคคอรัสไว้ในครอบครอง สิ่งที่ต้องถามตัวเองก็คือแนวดนตรีเราเป็นยุคไหน เลือกคอรัสให้เข้ากับแนวของเรา”

Boss CE-20 Chorus Ensemble

เอฟเฟคอย่าง Chorus มักถูกใช้เพื่อทำให้ไลน์ดนตรีมีความหนามากขึ้น ถือเป็นสัญลักษณ์ของดนตรียุค 80 เลยทีเดียว เสน่ห์ที่เย็นวาบ เสียงดังว้องๆ ของมัน ถือเป็นลักษณะของแนวดนตรีของยุคนั้นเพราะมันถูกใช้อย่างล้นหลาม

แต่…ถึงแม้มันจะเป็นที่นิยมในยุค 80 เอฟเฟคชนิดนี้ก็ปรากฏแก่วงการดนตรีตั้งแต่ยุค 60 ไปแล้ว และถูกใช้โดยศิลปินผุ้ยิ่งใหญ่อย่าง Jimi Hendrix ด้วย

ความตั้งใจแต่เดิมของมันมีเพื่อจะ ‘เลียนเสียง Rotary Speaker’ หรือลำโพงที่ขณะทำงาน ตัวลำโพงจะหมุนไปด้วยพร้อม ๆ กัน ให้เสียงคล้ายออร์แกน
ตัววงจรถูกออกแบบให้แยกสัญญานออกเป็นสองส่วน ส่วนสัญญานกีต้าร์เดิม และสัญญานที่ถูกแปลงความถี่เล็กน้อย ผสมกับเข้าไปกับสัญญานเดิมโดยช้ากว่าเดิมในระดับมิลลิวินาที

แต่ทว่ามันกลับล้มเหลว
ถึงอย่างนั้น มันกลับให้เสียงดัง ‘ว้องๆ’ ที่เป็นลักษณะเฉพาะ กลายมาเป็นแม่แบบของเอฟเฟคตระกูลนี้ในเวลาต่อมา

ในยุค 60 คอรัสจะให้สัมผัสวูบ ๆ วาบ ๆ เสียงมีการ vibrato ทำให้เสียงเพี้ยนไป ๆ มา ๆ เป็นเอฟเฟคตระกูล uni-vibe

ในยุค 70 ให้เสียงในโทนสว่าง ออกคล้าย ๆ เสียงเครื่องเป่าทองเหลือง หาฟังได้จากเอฟเฟคคอรัสจาก Maxon

และในยุค 80 ให้เสียงว้อง ๆ ให้ความรู้สึกเย็นฉ่ำ อย่างใน Boss – Super Chorus

Boss Super Chorus CH-1

ถ้าคิดจะใช้เอฟเฟคชนิดนี้แล้ว เลือกมันให้ตรงกับแนวของเพื่อน ๆ ด้วยนะ นอกจากนี้ก็ทำความเข้าใจกับปุ่มสำคัญต่าง ๆ บน Chorus สองปุ่ม คือ
Depth และ Rate
ปุ่ม Depth ทำให้เสียงจากเอฟเฟคได้ยินชัดขึ้น
ปุ่ม Rate ยิ่งเพิ่ม ยิ่งให้สัมผัสความรู้สึกวิงเวียน

=======================================
ขอขอบคุณช่อง Howcast และ Roland U.S. บน Youtube

เลิกงงกันได้แล้ว! คอร์ดที่มี “/” เค้าเล่นกันแบบนี้

คอร์ดที่มี / เค้าเล่นกันยังไงน้า

น่าจะเคยเจอกันมาบ้าง อย่างคอร์ด C/B อะไรทำนองนี้
มันจะต้องเล่นคอร์ด C เอ๊ะ หรือว่าเล่น B หรือจัดมันทั้งสองคอร์ดพร้อมๆกัน ?

12

วันนี้เราจะมาเฉลยให้ฟัง

คอร์ดที่มี / เช่น C/B C/E G/B ทั้งหลายพวกนี้ มีชื่อเรียกว่า Slash Chord ‘คอร์ดสแลช’
ซึ่งไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับ Slash มือกีต้าร์ Guns ‘n Roses ใดๆทั้งสิ้น 😛

ต้องมารู้กันก่อนว่าคอร์ดเกิดจากการเรียงของโน้ตหลาย ๆ ตัวพร้อม ๆ กัน ดังนั้นทุกครั้งที่เราจับคอร์ดจะต้องมี
” โน้ต ที่มีเสียงต่ำที่สุดในคอร์ด หรือก็คือโน้ตที่อยู่ตามสายบน ๆ ของกีต้าร์นั่นเอง เราเรียกว่า ‘โน้ตเบส’ ”

การเขียนว่า C/B อย่างนี้เป็นต้น คือ การบอกว่า จับคอร์ด C โดยให้โน้ตต่ำสุด(โน้ตเบส) เป็นโน้ต B นั่นเอง

การจะจัยคอร์ดประเภทนี้ได้ถูกต้อง จะต้องรู้ว่า โน้ตบนคอกีต้าร์มีอะไรบ้างนั่นเอง ยกตัวอย่าง C/B จะต้องจับ
e–0–
b–1–
g–0–
d–2–
a–2–
E–x–

จะเห็นว่าที่สาย 5 เราจะกดเฟรต 2 แทนที่จะเป็น 3 อย่างในคอร์ด C ทั่ว ๆ ไป
โดยเฟรต 2 สาย 5 คือโน้ต B

มาชมอีกตัวอย่าง คอร์ด C/G
e–0–
b–1–
g–0–
d–2–
a–3–
E–3–

เราเพิ่มโน้ตที่เฟรต 3 สาย 6 เข้าไป ซึ่งเป็นโน้ต G

มาถึงตรงนี้ มือใหม่ อาจจะงง หรือตัดพ้อเอาว่า ‘โอ้ย ก็ฉันจำโน้ตบนคอไม่ได้นี่นา งั้นเลิกเล่นเพลงนี้ไปเลยละกัน คอร์ดยาก…’

โนวววว ในดนตรีเรามีการประนีประนอมเสมอนาจาา ซึ่งก็คือ

เลิกสนใจ โน้ตเบส ไปซะ!
อย่าง C/B หรือ C/G ก็เล่นแค่ C, G/B ก็แค่ G ก็พอ ตรงนี้ก็พอกล้อมแกล้มไปได้

หรือ ถ้าคุณมีวงเล่น
ก็ให้มือเบสเป็นคนกด โน้ตเบส แทน

วันนี้ก็จบไปกับคอร์ด / ซึ่งไม่ได้ยากเลย แต่ต้องรู้จักโน้ตบนคอกีต้าร์เท่านั้นเอง ถ้าใครอยากจะให้เป๊ะ ๆ ก็ลองจำโน้ตบนคอ แล้วกดกันให้ถูกต้องดูกันเนอะ

ขอขอบคุณภาพจาก guitarnoise.com

5 ขั้นตอนทำซาวด์ Psychedelic ด้วย Gibson SG

ดนตรีแนว Psychedelic เป็นแนวดนตรีที่เกิดในช่วงยุค 60 ได้แรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์การใช้สารเสพติดอย่างกัญชา มาตีความให้อยู่ในรูปของประสบการณ์ทางดนตรี เป็นแนวดนตรีที่นักดนตรีสมัยนี้หันกลับมาทำกันอยู่บ่อย ๆ

ซึ่งถ้าอยากจะทำซาวด์อย่างศิลปินดังที่เค้านำซาวด์ไซคะเดลิคกลับมาทำใหม่ ควรมองหาตัวอย่างระดับบรมครูมาศึกษา ซึ่งก็นะ คงหนีไม่พ้น Eric Clapton มือกีต้าร์พระกาฬในช่วงฟอร์มวง Cream ไปไม่ได้

Clapton ในสมัยนั้นถือเป็นแนวหน้าในดนตรีไซคะเดลิคเลยทีเดียวถึงขนาดที่ว่า Gibson SG ของเขาที่ชื่อ ‘The Fool’ กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของดนตรีแนวนี้ไปเลย

เสียง SG ของ Clapton มีชื่อเรียกกันว่า ‘Woman Tone’ หรือ ‘สำเนียงสาว’ ที่แม้จะออกแป๋นๆ แต่ก็มีทึบทึมในตัว เป็นเอกลักษณ์เอามากๆ

sg faded 2016 T

sg faded 2016 T

เรามาลองดูขั้นตอนการทำเสียงสไตล์นี้ดู
1. ใช้สวิทช์ Pickup ตรงกลาง

2. หมุนปุ่มโทนทั้งสองให้ต่ำสุด

3. Volume ของ Pickup สะพานอยู่ที่ 6-7 ส่วน Pickup คอ เปิดให้สุด

4. ใช้หัวแอมป์ Marshall เปิดโทนทุกตัวสุดหมด

จุดนี้เราจะได้ซาวด์คล้ายๆ Clapton แล้ว เราอาจจะเพิ่มความไซคะเดลิคเข้าไปได้อีก

5. โรยหน้าด้วยเอฟเฟค Tremolo หรือ Reverb ด้วย

ถ้าใครมี SG อยู่แล้วคงได้ซาวด์ออกมาใกล้เคียงเลย แต่ใครจะลองกับกีต้าร์ตัวอื่นก็ไม่ว่ากัน

นี่คงพอจะเป็นไอเดียเล็กๆ ให้เอาไปทดลองกันต่อ เผื่อจะได้ซาวด์ไซคะเดลิคแบบของตัวเองกันบ้าง
ขอขอบคุณเว็บไซต์ Gibson และ Dave Hunter

จะซื้อกลองไฟฟ้าสักชุด? มาลองดูวิธีเลือกซื้อกันหน่อยไหม

‘ช่วงปี70 กลองไฟฟ้าถือเป็นเครื่องดนตรีที่ล้ำยุคสมัยเกินไป’

ในตอนแรกที่กลองไฟฟ้าถูกประดิษฐ์ขึ้นมานั้น เนื่องจากความเซนซิทีฟที่มากเกินไป เทคโนโลยีเท่าที่มี ณ ตอนนั้นยังคงทำให้มันใช้เล่นและควบคุมได้ยาก
กลองไฟฟ้าปรากฏต่อหน้าวงการบันทึกเสียงครั้งแรก ตอนที่ Graeme Edge มือกลองวง Moody Blues นำสิ่งประดิษฐ์นี้ของเขาไปเล่นในเพลง Procession ในปี 1971
เขาให้สัมภาษณ์หลังจากนั้นว่า ‘ตอนที่ใช้เล่น กลองไฟฟ้าทำหน้าที่มันได้เจ๋งไปเลย แต่มันล้ำสมัยเกินไป…’

วงดนตรี The Moody Blues

วงดนตรี The Moody Blues (ภาพจาก Wikipedia.org)

แต่ตอนนี้ร่วมเข้าไป 40 ปีแล้ว กลองไฟฟ้าสมัยนี้ก็ดีกว่าสมัยแต่ก่อนมาก
ปัญหาก็คือทุกยี่ห้อมันก็ทำท่าว่าจะดีเหมือนกันไปหมด แล้วรุ่นไหนล่ะที่จะเรียกว่าพอดีสำหรับเราๆ วันนี้ทางเราขอเสนอ ‘ก่อนจะตัดสินใจซื้อกลองไฟฟ้าสักชุด ต้องดูอะไรบ้าง?’ ซึ่งในตอนแรก เรามาดูเทคนิคการเลือกกลองไฟฟ้าจากรูปลักษณ์ภายนอกกันก่อน

>> สินค้ายี่ห้อนี้ขึ้นชื่อเรื่องความคงทนไหม?
นอกจากจะหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตแล้ว ทริคเล็กๆน้อยอีกข้อก็คือ ลองสังเกตจากตัวโชว์ที่อยู่ตามร้าน(ถ้ามี) ตัวโชว์จะค่อนข้างผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านมือคนนับไม่ถ้วน ถ้าสังเกตแล้วว่าไร้รอยขีดข่วน แสดงว่ากลองยี่ห้อนี่ผ่านหลักสูตรเรื่องความคงทนมาแล้วแน่นอน

>> ใช้แป้น(pad)หรือหนังมุ้ง(mesh head)ดี?
แน่นอนว่าแป้นจะมีราคาถูกกว่า แต่ถ้าไม่นับประเด็นเรื่องราคาแล้วละก็

ชนิด แป้น หนังมุ้ง
ข้อดี ขนาดเล็กพกพาง่าย ให้เสียงแน่นอนเหมือนเดิมตลอด สัมผัสคล้ายกลองจริง ตอบรับย่านเสียงมากกว่า จูนหนังกลองได้
เหมาะกับ ออกนอกสถานที่บ่อย
งานอัดลูปกลอง
งานดนตรีจริงจัง เล่นสด จะเห็นว่าแป้นและหนังมุ้งมีวิธีใช้งานคนละแบบ อย่าลืมเลือกแบบที่เหมาะกับเราด้วย

>> โมดูลกลองมีดีอะไรบ้าง?
โมดูลเปรียบสมอง ของกลองไฟฟ้า ทันทีที่รับสัญญานตีจากคนเล่น ระบบจะรับสัญญานและแปลงออกมาเป็นเสียง ถือเป็นตัววัดคุณภาพของกลองไฟฟ้าชุดๆนึงเลยทีเดียว โมดูลดีๆก็ให้เสียงที่ดีมีคุณภาพ และสิ่งที่ควรคำนึงถึงต่อมามากที่สุด คือฟังก์ชันที่ติดมาให้ เช่น สามารถexportบันทึกการเล่นของเราได้ ยิ่งรุ่นดีๆ นอกจากจะเปลี่ยนโทนเสียงเครื่องตีแต่ละชิ้นได้แล้ว ยังสามารถอัพโหลดชุดเสียงของเราเองเข้าไปได้ด้วย
เรื่องโมดูลนี้ ต้องเลือกให้เหมาะกับความพอดีของเราว่าจะใช้ในเชิงไหน เพราะว่ายิ่งโมดูลฟังก์ชันเยอะราคาก็ยิ่งแพงนั่นเอง

>> แล้วเวลาแฝง(Latency)ล่ะ?
นี่เป็นประเด็นที่มักไม่กล่าวถึงเท่าไหร่ เวลาเรื่องซื้อกลองไฟฟ้าตามร้าน เวลาแฝงแปลง่ายๆ ก็คือ ‘ดีเลย์’ ดีๆนี่เอง เวลาแฝงคือเวลาในช่วงทั้งหมดตั้งแต่ตัวรับสัญญาน รับสัญญาน ส่งผ่านไปที่โมดูล โมดูลแปลงออกมาเป็นเสียง โดยทั่วไปกินเวลาในหลักมิลลิวินาที ซึ่งกลองไฟฟ้าที่ดีต้องมีเวลาแฝงน้อยๆ เราสามารถลองเช็คเวลาแฝงได้ด้วยการลองตีลงไปแล้วฟังเสียงที่ออกมา ถ้ารู้สึกว่ามันดีเลย์นิดๆ ก็ควรจะเก็บกลองไฟฟ้าชุดนั้นเอาไว้เป็นตัวเลือกท้ายๆจะดีกว่า

roland td-15k v drums

roland td-15k v drums

เป็นไงบ้าง หลักการเลือกซื้อกลองไฟฟ้าง่ายๆ สั้นๆ ก็จบแต่เพียงเท่านี้ บางเรื่องก็อาจจะเป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แล้ว แต่ถ้าบางเรื่องเป็นเรื่องใหม่ก็คงเป็นเรื่องดีสำหรับชาวเราที่คิดหาซื้อกลองไฟฟ้าอยู่แน่ๆ ขอให้พบรักกับกลองไฟฟ้าดีๆ, นะ 😉

หากเพื่อนๆ สนใจกลองไฟฟ้าเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่

5 สเต็ปปรับหน้าตู้ ให้ได้ซาวด์ลงตัว

คำว่าซาวด์ดีซาวด์ลงตัว เป็นใครก็อยากได้ทั้งนั้น แต่มันหมายความว่ายังไงกับคำว่า “ลงตัว”?

ยกตัวอย่างตำนานร็อคทั้งหลายเลย Jimi Hendrix, Eric Clapton, Jimmy Page และอีกมากมาย สิ่งที่พวกเขามีคือซาวด์เสียงแตกร็อคๆ แต่กลับยัง เหลือความคมชัดของโน้ตอยู่ และยังคงเอกลักษณ์เฉพาะตัวไว้ได้อีก นี่แหละที่เรียกว่าลงตัว!

ซึ่งต่างจากที่คนส่วนใหญ่ทำได้คือเสียงแตกอย่างเดียว ขาดเสน่ห์ และโน้ตฟังไม่ชัดอีกต่างหาก

สิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดคงหนีไม่พ้นการปรับหน้าตู้ แต่ส่วนใหญ่มักทำกันแบบมวยวัด แค่ว่าเข้าไปหมุนๆบิดๆ เพิ่มเบสนิด ลดเทรเบิ้ลหน่อย ใครได้ซาวด์ลงตัวก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าใครยังไม่ได้ หรือว่าอยากลองปรับแบบมีขั้นมีตอนบ้างละก็ วันนี้ทางเราจะมานำเสนอเทคนิคการปรับหน้าตู้เล็กๆน้อยๆ ที่ทางเว็บไซต์ Gibson เขานำมาเผยแพร่ เพื่อให้เพื่อนๆไปทดลอง เผื่อจะได้เสียงที่ลงตัวกัน

blackstar-id-core-stereo-10-guitar-amp-angle copy

เริ่มแรกเลยเมื่อ set up เครื่องไม้เครื่องมือเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ต้องทำก็คือ

1. ปรับให้ EQ ตู้แอมป์ ทุกย่านอยู่ตรงกลางให้หมด

2. ค่อยๆปรับเพิ่ม Volume ไปเรื่อยๆ จนเสียงฟังดูอิ่มตัว ช่วงที่ได้เสียงที่แน่น ชัดเจน ทั้งที่เล่นเป็นโน้ต และคอร์ด ‘ตรงนี้จะเป็นจุดที่พอดีที่สุด ก่อนที่เสียงจะเริ่มแตก’

3. เมื่อได้จุดที่พอใจแล้ว ให้เริ่มปรับ EQ เพื่อให้ได้เสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของเรา

4. ถึงตอนนี้ใครต้องการเสียงแตกก็ค่อยปรับ gain เอา แต่ต้องระวังไม่ให้ gain มากเกินไป เพราะจะทำให้ความคมชัดหายไปด้วย

5. สุดท้าย เราค่อยเติมสิ่งที่ขาดไปในเสียงของเราด้วย effect ต่างๆ

ตรงนี้เป็นไกด์ไลน์เบื้องต้น บางคนอาจจะทดลองด้วยตัวเองแล้วเจอความลงตัวในแบบของตัวเองก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าเพื่อนคนไหนยังหาเสียงตัวเองไม่เจอ และถ้ายังไม่เคยลอง ก็น่าจะลองดูบ้าง เผื่อจะเจอเสียงของตัวเองก็เป็นได้

Vox-MINI5-8 effects

Vox-MINI5-8 effects