CMC The Explorer Birch Snare กลองสแนร์ไม้เบิร์ช

Korg MicroKEY 2 25 Key

ขายเพียง  2,340฿ จาก  2,600฿

Marshall CODE212 คาบิเนต

ขายเพียง  16,000฿ จาก  20,000฿

เปรียบเทียบกันชัดๆ Yamaha F310 กับ Epiphone DR-100 กีต้าร์โปร่งในตำนาน รุ่นไหนดีกว่ากัน?!

ท้ง Yamaha F310 และ Epiphone เป็นกีต้าร์ราคาเบาๆที่มีแบรนด์ดังทั้งคู่ ทาง Yamaha จะออกแบบมาให้เหมาะกับคนเอเชียมากกว่าทั้งเรื่องเสียงที่แนว บาง นุ่ม คอเล็ก น้ำหนักเบา แต่ก็มีนักดนตรีหลายคนชื่นชอบซาวด์หนาๆแบบฝั่งอเมริกา และถ้าเป็นคนมือใหญ่แล้วจะเล่น Yamaha ไม่ถนัดมากเนื่องจากเฟรตแคบ อาจต้องย้ายมาเป็น Epiphone ดีกว่า คุณภาพเสียงถือว่าคุ้มค่าทั้งคู่ อยู่ที่ความชอบของผู้ซื้อแล้วว่าแนวไหน ถ้าให้เลือกคงลำบาก ขอเก็บเธอไว้ทั้งสองคนเลยจะดีกว่า หรือถ้าเพื่อนๆคนไหนอยากฟังเสียงจริงๆ มาจับกีต้าร์ตัวเป็นๆ ลองได้ที่ Musicarms ทั้ง 6 สาขา อาจจะถูกใจทั้งสองรุ่นนี้มากกว่าเดิม

รีวิว กีต้าร์โปร่ง Taylor รุ่น 214CE ES2

อย่างแรกจะเห็นได้ว่าเป็นทรง GA หรือแกรนด์ ออดิทอเรียม ทรงนี้จะเหมาะสำหรับคนตัวเล็ก และเป็นทรงบอดี้ที่ให้เสียงเต็ม ได้ทั้งตีคอร์ดและเล่นแบบเกา

แน่นอนว่ากีต้าร์ระดับนี้ไม้หน้าต้องเป็นท็อปโซลิดหรือไม้แท้แผ่นเดียวซิทก้าสปรู๊ซ เสียงนุ่มละมุน หลายคนชอบไม้ท็อปโซลิดเนื่องจาก พอเก็บไว้นานแล้ว เสียงกีต้าร์จะนุ่มนวลมากขึ้น เนื่องจากน้ำในตัวไม้ระเหยออกหมดตามเวลา ทำให้ไม้แห้ง เสียงจะคมใส บอดี้ข้างและหลังโรสวู่ด ลายไม้สวยงาม เพิ่มมิติเสียงหนาเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วมือกีต้าร์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า รุ่นนี้ เสียงใส เด่นชัด

มาดูส่วนคอกันบ้าง คอนั้นทำจากไม้สปีลี่ หรือแอฟริกันมะฮอกกานี เป็นไม้ที่แข็งแรง ให้โทนเสียงเดียวกับมะฮอกกานี วางโครงกีต้าร์ภายในแบบ Forward Shifted ช่วยให้ตัวบอดี้เชื่อมกับคออย่างแข็งแรง ฟิงเกอร์บอร์ดอีโบนี่ สีสวยงามซาวด์นุ่มๆ อินเลย์ลายจุดเด่นชัด

ส่วนหัวนั้นทำทรง Taylor เป็นเอกลักษณ์ ส่วนหัวทำจากไม้อินเดีนโรสวู้ด ลูกบิดหลังกลมชุบโครเมี่ยมสีเงิน ยึดสายแน่นไม่มีเพี้ยน ค่อนข้างหนืดกว่ากีต้าร์ราคาระดับล่าง ตรงช่วง Nut ทำเพลทสีดำสวยงาม Nut ทำจาก Nubone หรือกระดูกสังเคราะห์ สามารถรองสายได้ดีไม่สึกหรอสมราคา และ Saddle จากกระดูกสัตว์ ตัวบอดี้นั้นทำขอบไบดิ้งสีขาวเพื่อความสวยงาม ซาวด์โฮลลายเปลือกหอยดูเรียบหรู ปิ๊กการ์ดลายกระดองเต่า และที่พิเศษคือเคลือบบอดี้และคอแบบด้านมาให้ ช่วยให้เล่นง่ายขึ้น เวลามือเปียกเหงื่อจะไม่ฝืดมาก รูดคอรูดสายง่ายลื่นปรู๊ดๆ ไม่มีสะดุด

ภาคไฟฟ้าเป็นรุ่น ES2 ตามชื่อเรียกเต็มอย่างเป็นทางการว่า  Expression system 2 เป็นปิ๊กอัพที่ฝังในตัวกีต้าร์ มีปุ่มคอนโทรลออกมา 3 ปุ่ม คือปุ่มปรับ Volume, Treble, Bass ตัวปิ๊กอัพวางไว้ตรง soundboard ซึ่งจะช่วยให้ได้เสียงอะคูสติกมาก เพราะรับการสั่นจากไม้หน้า และยังปรับมาใช้ถ่าน 9V ที่หาได้ง่าย รุ่นนี้แทบไม่ต้องปรับ EQ กันเลยนะครับ เพราะทาง Taylor เซ็ทมาจากโรงงานอย่างดี รับประกันเสียงใสๆกันได้เต็มที่

ข้อดี

  • แน่นอนว่าระดับกีต้าร์ Taylor นั้นแทบไม่มีข้อติ ซาวด์ใสชัดเจน เล่นได้ทุกแนวเพลง
  • วัสดุไม้ การประกอบทั้งหมดอยู่ในระดับสูง คอ ทัชชิ่ง แทบไม่ต้องปรับ
  • การตั้งค่าจากโรงงานทำได้ดี คอบางเล่นง่าย สตรัมคอร์ดได้ เกาก็เยี่ยม
  • และยังได้ภาคไฟฟ้ามาแบบจัดเต็ม ถือว่าสมราคากีต้าร์ระดับนี้อย่างมาก

ข้อเสีย

  • อย่างไรก็ตามใช่จะไม่มีข้อติเลย ที่เห็นได้ชัดคือภาคไฟฟ้าที่ทาง Taylor นั้นเซ็ทค่ามาจากโรงงานเรียบร้อย
  • การปรับค่าเสียงได้แค่ Treble, Bass ทำให้ความหลากหลายของซาวด์ค่อนข้างแคบ มีนักดนตรีบางคนที่อยากปรับซาวด์เป็นของตนเองแต่ทำได้ไม่เต็มที่นัก
  • เรียกว่าเสียงจะเป็นแนว Taylor ชัดเจนเกินไปก็ว่าได้
สรุปเลยแล้วกันว่าเจ้า Taylor รุ่น 214CE ES2 นี้ถือว่ายอดเยี่ยมคุ้มราคาถูกเม็ด ใครต้องการหากีต้าร์โปร่งไฟฟ้าที่ตัวเดียวจบ ก็ต้องแนะนำกันเลย เพราะเทียบกันแล้วเหนือกว่ารุ่นกลางๆอย่างชัดเจน ครอบคลุมทุกการใช้งาน ซาวด์ใสกิ๊งชัดเจน ออกงานได้สบายๆ รับรองว่าไม่ทำให้ผิดหวัง ถ้าอยากรู้เสียงชัดๆว่าเป็นยังไง เชิญมาลองได้ที่ Musicarms ทั้ง 3 สาขา เลยนะคร๊าบบบบบ

Veelah To Go M VS Sigma TM-15

อันดับแรกเรื่องราคาถือว่าสูสีกันเพราะอยู่ในเรท 6000 ทั้งคู่ โดยทาง Sigma TM-15 จะมีราคาสูงกว่าเล็กน้อย บอดี้นั้นใช้ไม้มะฮอกกานีเป็นไม้หลักเช่นเดียวกัน และยังได้ไม้หน้าเป็นท็อปโซลิดมะฮอกกานีทั้งคู่ เรียกว่าเทียบวัสดุไม้ส่วนบอดี้แล้ว แทบไม่ต่างกันเลย สีบอดี้จะเป็นสีทึบคล้ายคลึงกันทั้งสองรุ่น

ส่วนคอทั้งสองรุ่นนี้เป็นคอมะฮอกกานีเช่นเดียวกัน แม้จะเป็นกีต้าร์ไซส์เล็ก แต่ได้เฟรตเต็ม เล่นได้ครบถ้วนเช่นเดียวกับกีต้าร์ทรง 41 นิ้ว ฟิงเกอร์บอร์ดของ Veelah To Go M จะเป็นไม้โรสวู้ด ส่วนของ Sigma TM-15 จะเป็นวัสดุสังเคราะห์มิคาร์ตา ซึ่งมิคาร์ต้าจะมีจุดเด่นเรื่องความนิ่มกว่าไม้โรสวู้ด การจับคอร์ดจะทำได้ง่ายกว่า ให้เสียงโทนหนาเช่นเดียวกัน

ดูวัสดุไม้ไปแล้ว มาต่อกันเรื่องดีไซด์ ทั้งสองรุ่นจะออกแบบมาคล้ายกัน แต่ Sigma TM-15 มีมีขอบตรงโพรงกลางเด่นชัดกว่า ตัดกับบอดี้ ส่วนของ Veelah จะใช้การสลักลวดลายตรงโพรงซึ่งดูเรียบกว่า ตรงนี้อยู่ที่ความชอบของผู้ใช้งาน แต่ทาง Musicarms เห็นว่าของ Sigma จะดูสวยงามกว่าเล็กน้อย ในส่วนลูกบิดเป็น Mini Die-cast ชุบโครเมี่ยมเช่นเดียวกันไม่แตกต่างกันมากนัก

 

เสียงต่างกันอย่างไร

เนื่องจากทั้งสองรุ่นใช้วัสดุไม้แบบเดียวกัน ทำให้ซาวด์ออกมาใกล้เคียงกันอย่างมาก แตกต่างที่ฟิงเกอร์บอร์ด ทาง Sigma จะมีโทนเสียงที่หนากว่าเล็กน้อย แต่แทบไม่รู้สึกถ้าไม่สังเกตุกันดีๆ Veelah จะได้โทนเสียงหนานุ่ม และเสียงกลางออกชัดกว่า เสียงตีคอร์ด Sigma จะอวบหนากว่า แต่ถ้าด้านความหลากหลายขอยกให้กับ Veelah ที่เสียงไม่หนาจนเกินไป จะเล่นแนวเกาก็ยังไหว

 

จุดเด่น Veelah To Go M
  • ราคาเบาๆ ได้ไม้หน้าท็อปโซลิด
  • งานประกอบได้คุณภาพ
  • แบรนด์ดังตีตลาดในไทย เชื่อถือได้
จุดเด่น Sigma TM-15
  • ราคาเบาๆ ได้ไม้หน้าท็อปโซลิด
  • งานประกอบได้คุณภาพ
  • ฟิงเกอร์บอร์ดมิคาร์ตา นุ่มมือกดคอร์ดง่าย

สรุป

ถือเป็นกีต้าร์สองตัวที่กินกันไม่ลงเลยทีเดียว เพราะคุณภาพดีด้วยกันทั้งคู่ โดยเฉพาะเรื่องงานประกอบที่ทำออกมาได้ดีและทนทาน แตกต่างกันแค่ฟิงเกอร์บอร์ด หากใครอยากกดคอร์ดนุ่มๆลื่นๆ อาจจะเลือก Sigma แต่ก็ต้องแลกด้วยราคาที่สูงขึ้นซักนิด อันนี้แล้วแต่งบประมาณของแต่ละคน แต่ทาง Musicarms รับประกันได้ว่าทั้งสองรุ่นเสียงดีเกินราคา ได้มาตรฐานสำหรับกีต้าร์พกพา เหมาะกับคนชอบท่องเที่ยวที่ต้องแบกกีต้าร์บ่อยๆ ถ้าอยากสัมผัสกีต้าร์ตัวเป็นๆหรือลองเสียง เชิญได้เลยที่ Musicarms ทั้ง 3 สาขา แล้วคุณจะได้คำตอบด้วยตัวคุณเอง !!!

Yamaha ERG-121U VS Squier Affinity Strat

อย่างแรกสุดคือเรื่องยี่ห้อ ซึ่งก็คงสอบผ่านทั้งคู่เพราะเป็นแบรนด์ที่คุ้นหูนักดนตรีไทยมายาวนาน เรื่องราคานั้นทาง Squier จะสูงกว่าเล็กน้อย แต่จะได้เปรียบเรื่องวัสดุไม้เพราะตัวบอดี้ทำจากไม้เอลเดอร์เช่นเดียวกับกีต้าร์รุ่นสูงๆทั่วไป ตรงนี้ทาง Yamaha ใช้ไม้อกาธิส เป็นไม้ที่ให้เสียงเบสหนากว่า ดังนั้นซาวด์จึงออกมาต่างกันชัดเจน เทียบเรื่องบอดี้แล้วต้องบอกว่า Squier มีคะแนนำไปก่อน 1 ก้าว

มาเรื่องคอกันบ้าง ตรงนี้แทบไม่แตกต่างเพราะคอทำจากไม้เมเปิ้ลทั้งคู่ แต่ Yamaha จะมีคอบางเล่นง่ายกว่าเพราะทางบริษัทเน้นผลิตเครื่องดนตรีใช้คนเอเชีย แม้ว่า Squier จะทำทรง C Shape มาแต่จากสัมผัสยังรู้สึกอวบกว่าเล็กน้อย ฟิงเกอร์บอร์ดต่างกันเล็กน้อย ทาง Yamaha ใช้ไม้โซโนเคลลิง เป็นไม้โรสวู้ดสายพันธุ์อินโดนีเซีย แต่ไม่มีผลเรื่องความแตกต่างของเสียงมากนัก ส่วนคอนี้ทาง Yamaha ตีเสมอมา 1-1

เรื่องการดีไซด์นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถ้าใครชอบรูปแบบคลาสสิคน่าจะเอนเอียงไปทาง Squier มากกว่าเพราะเล่นทำทรง Fender เป๊ะๆ ส่วนของ Yamaha จะเป็นทรงเฉพาะทางของทางค่ายเอง ดีไซด์ออกแนวร็อคหน่อย บอดี้สีดำเรียบๆแต่แฝงความดุดัน สายร็อคอาจจะชอบแนว Yamaha มากกว่า อันนี้แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคลเลย

เสียงแตกต่างกันไหม

บอกเลยว่าแตกต่างกันพอสมควร เห็นบอดี้ร็อคๆแบบ Yamaha แต่ซาวด์ออกมาค่อนข้างหวานเหลือเชื่อ เสียงแตกถือว่าออกไม่มาก พอเล่นแนวร็อคได้ แต่ถ้าหนักๆมากยังไม่น่าไหว แตกต่างจาก Squier ที่ทำเสียงแตกออกมาพุ่ง เหมาะกับการเล่นร็อคอย่างมาก แต่เทียบเรื่องเสียงคลีนแล้ว Musicarms เลือกทาง Yamaha ว่าเสียงเนียนใส และหวานกว่า ถ้าชอบร็อคๆอาจต้องเป็น Squier แต่ซาวด์คลีนจะเรียบๆและบาง

จุดเด่น Yamaha ERG-121U

  • คอบางแบบเอเชีย เล่นง่าย
  • เสียงหวานมากกกกกก ใครชอบแนวบัลลาดหรือซอฟท์ร็อคถูกใจแน่นอน
  • แบรนด์ดัง เชื่อถือได้
  • ราคาเบาๆ งานประกอบคุณภาพ

จุดเด่น Squier Affinity Strat

  • ซาวด์ดุแบบอเมริกัน เล่นร็อคสบาย
  • สเป็คไม้ดีเยี่ยม คุ้มราคา
  • แบรนด์ดัง เชื่อถือได้
  • งานประกอบคุณภาพ

สรุป

แม้จะเป็นสองรุ่นที่ราคาใกล้เคียงกัน แต่พอได้ฟังเสียงแล้วถือว่าแยกตลาดผู้ใช้ได้อย่างชัดเจน เรื่องคุณภาพบอกเลยว่าสูสีกันเพราะยี่ห้อดังแบบนี้การันตีเรื่องงานประกอบและวัสดุไม้ได้ดีอยู่แล้ว ใครอที่ชอบซาวด์หวานๆ เสียงคลีนใสๆแบบเอเชียหรือเจร็อค น่าจะโอเคกับทาง Yamaha มากกว่า แต่ถ้าใครเล่นร็อคเสียงแตกหนักๆ หรือชอบทรงคลาสสิกอาจเทใจให้ Squier อย่างไรก็ตาม ทาง Musicarms อยากให้เพื่อนมาลองเสียงและสัมผัสตัวจริงที่ร้าน Musicarms ทั้ง 3 สาขาจะดีกว่า เพื่อช่วยตัดสินใจได้ง่ายขึ้น แวะมาลองเสียงกันได้ทางเรายินดีเสมอคร๊าบบบบบผม