LINE


เพลงนูเมทัล DNA ดนตรีร็อกที่ไม่มีวันตาย จาก Korn สู่ Silly Fools และยุคสมัยที่คิดถึง

ไปซื้อ เพลงนูเมทัล DNA ดนตรีร็อกที่ไม่มีวันตาย จาก Korn สู่ Silly Fools และยุคสมัยที่คิดถึงที่สาขา

ถ้าคุณคือคนหนึ่งที่เติบโตมาในปลายยุค 90s จนถึงต้น 2000s เชื่อว่าภาพของวัยรุ่นที่สวมกางเกงยีนส์ตัวโคร่ง เสื้อยืดวงดนตรีไซส์ใหญ่ ห้อยโซ่ที่กระเป๋าสตางค์ หรือไม่ก็มีรองเท้าผ้าใบทรงหนาๆ ที่ปลายเท้า คงเป็นภาพที่ติดตาตรึงใจ และเสียงดนตรีที่ดังกระหึ่มออกมาจากลำโพงวิทยุ หรือหูฟังที่เสียบกับเครื่องเล่นซีดีพกพาในมือของพวกเขา ก็คือ “นูเมทัล” (Nu Metal) – ซาวด์แทร็กของคนทั้งเจเนอเรชันที่เปี่ยมไปด้วยพลังงานดิบ ความเกรี้ยวกราด และความสับสนของวัยหนุ่มสาว

นูเมทัลไม่ใช่แค่แนวดนตรีร็อกแขนงหนึ่ง แต่มันคือวัฒนธรรม คือการแสดงออกทางอารมณ์ และคือวิถีชีวิตที่ระเบิดขึ้นมาพร้อมกับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคมิลเลนเนียม เป็นช่วงเวลาที่อินเทอร์เน็ตเริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน แต่โลกก็ยังมีความดิบและห่ามในแบบของมัน บทความนี้จะพาทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่คิดถึงวันวาน และคนรุ่นใหม่ที่อยากทำความเข้าใจรากเหง้าของวัฒนธรรม Y2K ได้ย้อนกลับไปสำรวจการเกิดขึ้น ยุคเฟื่องฟู และมรดกของเพลงนูเมทัลที่ยังคงส่งต่ออิทธิพลมาถึงวงการเพลงไทยและทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้

ประวัติ Nu Metal: จุดกำเนิดของอสูรกายพันธุ์ใหม่แห่งวงการร็อก

ย้อนกลับไปในช่วงกลางยุค 90s กระแสเพลงกรันจ์ (Grunge) ที่เคยครองโลกดนตรีร็อกเริ่มแผ่วลง ความต้องการเสียงดนตรีใหม่ๆ ที่แตกต่างและสดใหม่ก็ผุดขึ้นมาในใจนักฟังและนักดนตรีทั่วโลก และในที่สุด “อสูรกาย” ทางดนตรีตัวใหม่ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นจากการผสมผสานข้ามสายพันธุ์ที่ไม่มีใครเคยคาดคิดมาก่อน

วงที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้บุกเบิกและเป็น “Godfathers of Nu-Metal” อย่างแท้จริงก็คือ Korn จากเบเคอร์สฟิลด์ แคลิฟอร์เนีย พวกเขาเข้ามาเปลี่ยนเกมด้วยการนำเสนอซาวด์ดนตรีที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน ด้วยกีตาร์ 7 สายที่ดรอปจูนลงจนต่ำสุดขั้ว ให้เสียงที่หนักอึ้งและมืดหม่น ชวนให้รู้สึกอึดอัดแต่ก็มีพลังอย่างน่าประหลาด เสียงเบสที่ตบดังสนั่นแบบดนตรี Funk ชวนให้โยกตาม และที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือการร้องของ Jonathan Davis ที่ผสมผสานระหว่างการแร็ป การคำราม การกรีดร้อง และเสียงร้องโหยหวนถ่ายทอดความเจ็บปวด ความโกรธแค้นในวัยเด็ก และความสับสนของชีวิตได้อย่างถึงแก่น พวกเขาคือพิมพ์เขียวของ เพลงนูเมทัล อย่างแท้จริง

ในเวลาไล่เลี่ยกัน Deftones ก็ได้สร้างสรรค์ซาวด์ที่มีความลุ่มลึก มีบรรยากาศที่ล่องลอยและแตกต่างออกไป แต่ยังคงไว้ซึ่งความหนักหน่วงและไดนามิกที่คาดเดาไม่ได้ การทดลองทางดนตรีของพวกเขาทำให้เกิดเสียงที่หนักแต่ก็มีความงดงาม และเป็นอีกหนึ่งเสาหลักที่ช่วยนิยามคำว่านูเมทัลให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

เพลงนูเมทัล คือการทลายกำแพงทางดนตรีอย่างแท้จริง มันไม่ใช่แค่การหยิบยืม แต่เป็นการหลอมรวมความเกรี้ยวกราดของ Heavy Metal, จังหวะกรูฟของ Funk และวัฒนธรรมการร้องแร็ปของ Hip-Hop เข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน จนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเหมือนและยากจะเลียนแบบ มันคือเสียงสะท้อนของความหลากหลายทางวัฒนธรรมในยุคนั้น ที่ดนตรีไม่มีขอบเขตอีกต่อไป

ยุคเฟื่องฟู: เมื่อโลกทั้งใบถูกย้อมด้วยสีสันของวงนูเมทัลและแฟชั่น Y2K

เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายยุค 90s และก้าวสู่ปี 2000 เพลงนูเมทัล ได้ระเบิดพลังและเข้ายึดครองกระแสหลักอย่างสมบูรณ์แบบ MTV ซึ่งเป็นช่องดนตรีที่มีอิทธิพลมหาศาลในยุคนั้น เปิดเพลงและมิวสิกวิดีโอของ วงนูเมทัล เหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้กระแสความนิยมแพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว และนี่คือเหล่าทัพหน้าที่พาดนตรีแนวนี้ไปสู่จุดสูงสุด

  • Limp Bizkit: วงที่นำพา เพลงนูเมทัล ไปสู่ปาร์ตี้และการปลดปล่อยความสนุกสนาน ด้วยดนตรีที่เน้นความมันส์ จังหวะที่โยกตามได้ง่าย และเนื้อหาที่ตรงไปตรงมา เน้นความเกรียนและความกวน Fred Durst ในหมวกแก๊ปสีแดงกลายเป็นไอคอนของยุค ที่ใครๆ ก็อยากเลียนแบบ และเพลงอย่าง “Nookie” หรือ “Rollin’ (Air Raid Vehicle)” ก็เป็นเพลงที่เปิดตามผับหรือร้านอาหารได้อย่างไม่ต้องกลัวตกเทรนด์
  • Linkin Park: พวกเขาคือปรากฏการณ์ อัลบั้ม Hybrid Theory (2000) ของพวกเขาทำยอดขายถล่มทลายทั่วโลก ด้วยการผสมผสานดนตรีที่หนักหน่วงแต่มีเมโลดี้ที่ติดหู และการร้องประสานที่ลงตัวระหว่างเสียงสำรอกอันทรงพลังของ Chester Bennington กับท่อนแร็ปอันเฉียบคมของ Mike Shinoda ทำให้พวกเขาเข้าถึงผู้ฟังในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นคอร็อกหรือคนที่เพิ่งเริ่มฟังแนวนี้ นี่คือวงที่ทำให้คนจำนวนมากหลงรัก เพลงนูเมทัล และเป็นจุดเริ่มต้นของแฟนเพลงร็อกอีกหลายคน
  • Slipknot: เก้าอสูรกายใต้หน้ากากจากไอโอวา ที่นำเสนอความบ้าคลั่ง ความหนักหน่วงสุดขั้ว และความก้าวร้าวอันเป็นเอกลักษณ์ พวกเขาผลักดันขอบเขตของนูเมทัลให้ไปไกลกว่าเดิม ทั้งในด้านดนตรีที่ซับซ้อนและหนักแน่น ไปจนถึงภาพลักษณ์ที่ดุดันและน่าจดจำ การแสดงสดของพวกเขาคือความโกลาหลที่ควบคุมได้ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่แฟนเพลงไม่มีวันลืม

วิถีชีวิตยุค 2000 และ แฟชั่น Y2K ไม่ได้อยู่แค่ในเสียงเพลง แต่ยังปรากฏผ่านสไตล์การแต่งตัวที่เป็นเอกลักษณ์ของยุคนั้น กางเกงยีนส์ทรงหลวม หรือ “Baggy Jeans” ที่ใหญ่โคร่ง สวมเสื้อยืดวงดนตรีไซส์ใหญ่เกินตัว ไม่ว่าจะเป็นวง Korn, Limp Bizkit หรือ Linkin Park ก็เป็นของที่ต้องมี การห้อยโซ่ที่กระเป๋าสตางค์ หรือการเจาะตามร่างกาย เช่น เจาะหู เจาะคิ้ว เจาะปาก ก็กลายเป็นเครื่องแบบของวัยรุ่นที่ต้องการแสดงออกถึงตัวตนและความแตกต่างจากคนทั่วไป นี่คือยุคที่ทุกคนกล้าที่จะแตกต่าง และดนตรีคือส่วนสำคัญที่หล่อหลอมเทรนด์เหล่านี้

คลื่นกระทบฝั่งไทย: DNA นูเมทัลในวงร็อกไทยยุค 2000

กระแสความนิยมของ เพลงนูเมทัล ที่โด่งดังไปทั่วโลก ได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงประเทศไทย และส่งอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อวงการเพลงร็อกไทยในยุคนั้น วงร็อกไทยยุค 2000 หลายวงได้ซึมซับเอาซาวด์และพลังงานแบบนูเมทัลมาปรับใช้เป็นสไตล์ของตัวเอง สร้างสรรค์เป็นผลงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

สิ่งสำคัญคือการที่วงร็อกไทยไม่ได้แค่ “ลอกเลียน” แต่เป็นการ “หยิบยืม” DNA ของนูเมทัลมาผสมผสานกับเมโลดี้และความเป็นไทย สร้างสรรค์เป็นผลงานที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ที่ยังคงเข้าถึงและโดนใจคนไทยอย่างลึกซึ้ง

  • Ebola: นี่คือวงดนตรีไทยที่แสดงออกถึงความเป็น เพลงนูเมทัล ได้อย่างชัดเจนและทรงพลังที่สุดในยุคนั้น ด้วยซาวด์กีตาร์ที่หนักหน่วงแบบดรอปจูน จังหวะจะโคนที่ซับซ้อน ผสมผสานกลิ่นอายของเมทัลและฮิปฮอป และเสียงร้องที่เกรี้ยวกราดดุดัน มีพลังสะกดใจ ทำให้ Ebola กลายเป็นหัวหอกของดนตรีร็อกอันเดอร์กราวด์และก้าวสู่กระแสหลักได้สำเร็จในเวลาต่อมา เพลงอย่าง “แสง” “เอาให้ตาย” หรือ “การุณยฆาต” คือบทเพลงที่อัดแน่นไปด้วยพลังแบบนูเมทัล ที่แฟนเพลงรุ่นเก๋ายังคงจดจำได้ดี
  • Silly Fools (ยุคของ โต-ณัฐพล พุทธภาวนา): แม้ Silly Fools จะมีแนวทางที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ซึ่งค่อนข้างจะอยู่ระหว่างอัลเทอร์เนทีฟร็อกและเมทัล แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในอัลบั้มอย่าง Juicy (2543) หรือ King Size (2545) มีอิทธิพลของ เพลงนูเมทัล เจือปนอยู่อย่างเข้มข้น ทั้งในเรื่องของริฟฟ์กีตาร์ที่หนักแน่นและมีจังหวะกรูฟ การใช้ไดนามิกที่สลับระหว่างความเบาและหนักหน่วงได้อย่างน่าทึ่ง และพลังการร้องที่ระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างเต็มที่ของโต ซึ่งสอดคล้องกับดนตรีนูเมทัลในระดับสากลอย่างมาก ทำให้เพลงของ Silly Fools ในยุคนั้นมีความหนักแน่นและทันสมัยถูกใจวัยรุ่นสุดๆ
  • วงอื่นๆ: นอกจากนี้ยังมีวงอย่าง Hangman (ซึ่งเป็นผลงานต่อมาของโต) และวงร็อกอีกหลายวงที่ได้รับแรงบันดาลใจจากยุคสมัยนี้ รวมถึงวงอินดี้และวงใต้ดินอีกมากมาย ที่นำเอาองค์ประกอบของ เพลงนูเมทัล มาใช้ในการสร้างสรรค์งานดนตรีของตัวเอง แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลที่แผ่ขยายไปทั่ววงการ

มรดกที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน: ตำนานที่ไม่มีวันตาย

แม้กระแสหลักของ เพลงนูเมทัล จะเริ่มจางหายไปในช่วงกลางยุค 2000s แต่จิตวิญญาณและมรดกของมันไม่เคยจางหายไปไหน วงดนตรีระดับตำนานหลายวงยังคงยืนหยัดสร้างสรรค์ผลงานและออกทัวร์คอนเสิร์ตจนถึงทุกวันนี้ และยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักดนตรีรุ่นใหม่ๆ อยู่เสมอ

  • ผู้รอดชีวิตที่แข็งแกร่ง: Korn และ Deftones ยังคงเป็น วงนูเมทัล ระดับแถวหน้าของโลก พวกเขาไม่ได้หยุดตัวเองไว้กับคำว่า “นูเมทัล” อย่างตายตัว แต่มีการพัฒนาและทดลองซาวด์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ทำให้งานเพลงของพวกเขามีความสดใหม่และน่าติดตามอยู่ตลอดเวลา จนกลายเป็นวงที่ได้รับการยอมรับในวงกว้างจากทั้งคอดนตรีร็อกและคนทั่วไป
  • ตำนานที่ไม่มีวันตาย: Linkin Park ได้ทิ้งมรดกทางดนตรีอันยิ่งใหญ่เอาไว้ แม้จะสูญเสีย Chester Bennington นักร้องนำผู้เป็นไอคอนไป แต่บทเพลงของพวกเขายังคงเป็นแรงบันดาลใจ เป็นเสียงปลอบประโลมให้กับผู้คนทั่วโลก และยังคงถูกเปิดและฟังอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าดนตรีที่ดีมีพลังอมตะเหนือกาลเวลา
  • อิทธิพลที่ส่งต่อ: ซาวด์และทัศนคติแบบ เพลงนูเมทัล ยังคงถูกนำไปผสมผสานกับแนวดนตรีสมัยใหม่ ทั้งในเพลงร็อก เมทัล และแม้กระทั่งฮิปฮอป ศิลปินรุ่นใหม่อาจไม่ได้เรียกตัวเองว่า “นูเมทัล” โดยตรง แต่กลิ่นอายของความหนักหน่วง จังหวะกรูฟ และการผสมผสานสไตล์การร้องแบบต่างๆ ก็ยังคงถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย

เพลงนูเมทัล อาจเป็นเพียงภาพจำของช่วงเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์ดนตรี แต่สำหรับผู้ที่เติบโตมากับมัน มันคือเสียงของวัยเยาว์ คือพลังงาน คือความโกรธ คือความสับสน และคือเพื่อนที่เข้าใจเราในวันที่สับสนที่สุด และ DNA ของมันยังคงไหลเวียนอยู่ในวงการเพลงร็อกทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย ตอกย้ำว่าดนตรีที่ดีจะไม่มีวันตายไปตามกาลเวลา และจะยังคงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นต่อไป

Music Arms