Yamaha FSX-315C VS Epiphone PRO-1 ULTRA

ก่อนอื่นเรามาดูบอดี้ภายนอกกันก่อน จะเห็นได้ว่า Yamaha FSX-315C นั้นเป็นทรงคอนเสิร์ตที่เหมาะกับคนตัวเล็ก ข้อดีของทรงนี้คือกะทัดรัด พกพาง่าย ผู้หญิงเล่นได้สบายๆ แต่ต้องแลกมาด้วยข้อด้อยที่เสียงเบสนั้นจะไม่พุ่งเท่าไหร่นัก เมื่อเทียบกับทาง Epiphone PRO-1 ULTRA ซึ่งเป็นทรงเดรทน็อต เสียงของ Epiphone จะมาเต็มกว่าเนื่องจากบอดี้ใหญ่ เสียงก้องชัด แต่ขนาดจะเล่นยากนิดนึง ตรงนี้ต้องอยู่ที่ผู้ซื้อว่าชอบแบบไหน จะเอาซาวด์แน่นหรือเล่นถนัดตามใจชอบ

เรื่องวัสดุไม้ตรงนี้ดูเหมือน Epiphone จะเหนือกว่านิดๆ เพราะไม้หน้าเป็นท็อปโซลิดหรือไม้แท้ โดยเป็นไม้สปรู๊ซเช่นเดียวกับ Yamaha ด้านข้างนั้นแตกต่างกันทาง Epiphone ใช้ไม้มะฮอกกานี แต่ทาง Yamaha ใช้ไม้โทนวู้ดเขตร้อน ไม้ของทาง Yamaha มีข้อได้เปรียบเนื่องจากเป็นไม้ในเขตอากาศเดียวกับประเทศไทย ทำให้เวลาเจอความร้อนแล้วไม้ไม่หดตัวเท่าไหร่นัก กีต้าร์จะทนกว่า ถือเป็นข้อดีอย่างมากในการเก็บรักษา ตรงนี้ผู้ซื้อก็ต้องเลือกว่าชอบไม้แท้หรือไม้ทนๆ

เรื่องงานประกอบคงไม่ต้องห่วงอะไรมากเพราะแบรนด์ระดับโลกแบบนี้ กว่าที่กีต้าร์จะออกมาจากโรงงานต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบอย่างดี ซึ่งทาง Musicarms ลองเล่นแล้วก็รู้สึกว่างานเนี๊ยบสมแบรนด์จริงๆ อะไหล่แต่ละชิ้นก็เลือกใช้ของดีทั้งคู่ เรื่องงานประกอบและเรื่องอะไหล่นี้ให้เสมอกันไปแบบสูสี

เรื่องเสียงก็ต้องบอกว่าคล้ายคลึงกันอย่างมากในภาคเสียงโปร่ง เพราะไม้โทนวู้ดเขตร้อนให้เสียงที่ใกล้เคียงไม้มะฮอกกานี แต่เสียงโปร่งของ Epiphone จะออกมาเต็มกว่าโดยเฉพาะย่านเบส ถ้าใครชอบสตรัมคอร์ดหนักๆเลือก Epiphone จะดีกว่า แต่ถ้าเล่นแนวฟิงเกอร์สไตล์เบาๆอาจจะชอบทาง Yamaha มากกว่าเพราะโทนเสียงแหลมชัดเจนกว่า

ข้อดีของ Yamaha FSX-315C

  • บอดี้เล็ก เล่นง่าย
  • โทนเสียงแหลมออกชัด
  • ราคาถุกกว่า

ข้อดีของ Epiphone PRO-1 ULTRA

  • บอดี้ใหญ่ เสียงเบสออกชัด
  • ไม้หน้าท็อปโซลิด

บทสรุปของ Yamaha FSX-315C VS Epiphone PRO-1 ULTRA ต้องบอกว่ามีดีในตัวคนละแบบ จากที่ยกมาก็ต้องแล้วแต่ผู้ซื้อจะเล่นสไตล์ไหนและชอบเสียงแบบไหน เพราะทั้งคู่ถือเป็นงานคุณภาพเกรด A จากแบรนด์ดัง และเพื่อนๆสามารถเลือกซื้อกีต้าร์ทั้งสองรุ่นนี้ได้ที่ร้าน Musicarms ทั้ง 4 สาขา โดยทางทีมงานจะดูแลเอาใจใส่ให้ความรู้เพื่อนๆอย่างดีตอนเลือกซื้อ เพื่อให้ได้กีต้าร์ที่ดี มีคุณภาพ อย่าลืมนะครับ ถ้าคิดถึงเครื่องดนตรี ขอให้คิดถึงเรา Musicarms เป็นชื่อแรกนะครับผม

 

รีวิวกีต้าร์ไฟฟ้า Cort รุ่น X100

เห็นราคาเบาๆแบบนี้ แต่ดูจากการดีไซด์ภายนอกทำได้ยอดเยี่ยมไม่น้อย โดยเฉพาะการเคลือบที่เผยให้เห็นลายไม้สวยงาม ขอบบอดี้จะเป็นสีดำเอาใจชาวร็อค ส่วนตรงกลางนั้นเผยลายไม้ ซึ่งไม่ค่อยพบเห็นในกีต้าร์ราคานี้เท่าไหร่กับการเคลือบแบบ Open Pore

CORTX 100

เรื่องวัสดุไม้ทาง Cort เลือดใช้ไม้เมอรานติทำบอดี้ คุณสมบัติของไม้นี้จะให้เสียงใกล้เคียงไม้มะฮอกกานี เนื้อเสียงโทนกลางดี ผสมย่านเบสเล็กๆเสียงพุ่งชัด คอไม้ฮาร์ดเมเปิ้ล แข็งแรงทนทาน ให้เสียงโทนแหลมชัด พูดง่ายๆคือสเปคไม้นั้นแทบไม่ต่างจากกีต้าร์ราคาหลักหมื่นเท่าไหร่นัก

cortx100

จุดเด่นอีกอย่างคือการเลือกใช้ฟิงเกอร์บอร์ดไม้จาโตบา เป็นไม้จากเอเชียที่ให้เสียงคล้ายไม้เมเปิ้ล มีลายไม้สวยงาม เมื่อทำฟิงเกอร์บอร์ดจะเห็นได้ว่า คอกีต้าร์นั้นดูหรูหราเกินราคาไปมาก และทาง Cort ยังเอาใจชาวเอเชียด้วยการทำ 24 เฟรต โซโล่กันสะใจ คอบางเล่นง่ายถนัดมือ

CORTX100

เรื่องเสียงนั้นหายห่วงได้เพราะตัวปิ๊กอัพเล่นของแรงอย่างรุ่น Powersound Humbucker เสียงอวบหนา พุ่ง สะใจชาวร็อค สามารถเล่นได้ทุกแนวเพลง โดยเฉพาะเพลงร็อค ซึ่งถ้าใครชอบซาวด์แบบ Humbucker ขอบอกว่าราคานี้หายากมากกับกีต้าร์แบรนด์มีชื่อ มีพิเศษสุดมาให้อีกอย่างคือตัวบริดจ์สามารถใส่คันโยกได้ งานนี้เอนกประสงค์ครบเครื่อง

ข้อดี

  • ราคาถูก แบรนด์ดัง
  • ปิ๊กอัพ Humbucker เสียงพุ่งสะใจ
  • ใส่คันโยกได้ ลูกเล่นเพียบ
  • ดีไซด์สวย เคลือบเห็นลายไม้

ข้อเสีย

  • ปิ๊กอัพแบบเดียว ทำให้คนชอบ Singlr-coil อาจไม่ชอบ

เหมาะสำหรับ

  • ผู้มองหากีต้าร์ราคาถูก
  • คนชอบใช้คันโยก
  • คนชอบซาวด์หนาๆแบบ Humbucker

บทสรุปกับกีต้าร์ Cort X100 นับว่าทำมาตีตลาดกีต้าร์ราคาถูกได้กระจุยกระจาย ราคานี้แต่ใส่ออปชั่นมาครบเครื่องนี่เจ้าอื่นๆมีค้อนกันได้บ้าง แต่ผลดีจะมาตกที่ผู้ซื้อเพราะได้กีต้าร์ดีๆราคาย่อมเยาไว้ใช้งาน โดยเฉพาะมือใหม่ที่กำลังหากีต้าร์ตัวแรกสำหรับฝึกฝน รับรองว่าคุ้มค่า และถ้าเพื่อนๆคนไหนจะซื้อรุ่นนี้ก็ไม่ต้องไปไกล เพราะทาง Musicarms มีวางจำหน่ายทุกสาขา รอให้เพื่อนๆเป็นเจ้าของกันอยู่ หากยังไม่แน่ใจจะเดินเข้ามาลองเสียงก้ได้ Musicarms รับรองเลยว่ารุ่นนี้ดีจริงและคุ้มค่าครับ

 

รีวิวกีต้าร์ Ibanez รุ่น JEMJRSP

สิ่งที่สะดุดตาอย่างแรกเลยคือสีสัน ทำมาได้จี๊ดจ๊าดโดนใจไม่น้อยกับสีเหลืองและชมพู รับรองว่าสะพายขึ้นเวทีแล้วโดดเด่นจนคนต้องมองแน่นอน บอดี้ไม้มะฮอกกานีให้โทนเสียงหนา โดยที่ตัวบอดี้เจาะรูไม้ทำเป็นรูปมือจับอันเป็นซิกเนเจอร์ของค่ายนี้ สวยงามดูแปลกตาไม่เหมือนใคร

ส่วนคอเป็นไม้เมเปิ้ลซึ่งต้องบอกว่างานประกอบทำได้ดีสมราคา อินเลย์ลายไม้เลื้อย คอยังทำทรง Wizard III เป็นคอทรงบาง เล่นง่ายสำหรับคนที่มือเล็ก เพราะทาง Ibanez เน้นการทำกีต้าร์ให้เหมาะกับชาวเอเชีย รวมถึงบอดี้ที่ปรับให้มีขนาดบางลงเล็กน้อยอีกด้วย

ปิ๊กอัพนั้นมาครบเครื่องทั้ง Single-coil และ Humbucker เรื่องเสียงนี่คงไม่ต้องห่วง เสียงคลีนหวานใส ปิ๊กอัพ INF ที่ทาง Ibanez ปรับปรุงมาใหม่ เสียงดีพุ่งแรง ซาวด์มีความหวานคล้ายคลึงที่ Steve Vai ใช้งาน เรียกว่าซื้อกีต้าร์ซิกเนเจอร์ไปเหมือนได้เล่นของเจ้าตัวเลย

รุ่นนี้ 1 โวลุ่ม 1 โทน ควบคุมง่าย ซีเล็คเตอร์ 5 ทาง ซาวด์นอกจากหวานแล้วยังค่อนข้างหลากหลาย และต้องมีคันโยกมาให้ตามสเต็ปของ Vai ที่ชอบใช้ เป็นฟลอยด์โรสอย่างดี โยกมันส์สายแทบไม่เพี้ยน บอกเลยว่า ซาวด์ดุ ซาวด์หวาน เอาอยู่หมด เรื่องเสียงนี่ถือเป็นจุดเด่นสมกับเป็นกีต้าร์ซิกเนเจอร์กันเลย

ข้อดี

  • ดีไซด์สวย สีสันเจ็บจี๊ด
  • ปิ๊กอัพหลากหลาย Single-coil และ Humbucker
  • ซาวด์ดีมาก หวานสุดๆ
  • มีคันโยกมาให้

ข้อเสีย

  • สีอาจจะดูจ๊ดจ๊าดไปนิดสำหรับคนที่ไม่ชอบ

เหมาะสำหรับ

  • ผู้ชอบ Steve Vai
  • คนมองหากีต้าร์เล่นได้หลากหลาย
  • คนชอบเล่นคันโยก

บทสรุปกับกีต้าร์ Ibanez รุ่น JEMJRSP ต้องบอกว่ามองหาที่ติแทบไม่เจอจริงๆ สำหรับคนที่ไม่ชอบเรื่องสีอาจมีติกันบ้าง แต่เรื่องงานประกอบและเรื่องเสียงนั้นขอบอกว่าคุ้มค่าเกินราคามาก ซาวด์ใกล้เคียงกับมือกีต้าร์ระดับโลกกับราคาแค่ 2 หมื่นต้นๆนี่คงหาไม่ได้อีกแล้ว ใครที่เป็นสาวกของ Vai รับรองว่าต้องสะสมเป็นเจ้าของกันแน่ และถ้าจะซื้อไม่ต้องไปไกล เดินเข้ามาที่ร้าน Musicarms ทางเราพร้อมให้เพื่อนๆลองเสียงกันเต็มที่ รับประกันเลยว่าถ้าได้มาลองเสียงปล้วจะถูกใจกว่าเดิม เพราะเรื่องเสียงนี่หากีต้าร์ที่กินรุ่นนี้ยากจริงๆ

รีวิวกีต้าร์ไฟฟ้า Epiphone รุุ่น Les Paul SL

แม้ว่าจะเป็นทรง Les Paul ก็ตาม แต่เรื่องรายละเอียดภายในกีต้าร์นั้นบอกเลยว่าแตกต่างจากแบรนด์หลักอย่าง Gibson อย่างสิ้นเชิง อันนี้เพื่อนๆต้องเข้าใจเพราะดัมป์ราคาลงมาขนาดนี้แล้วจะให้ใช้วัสดุไม้เกรดเดียวกับกีต้าร์ตัวเกือบแสนคงไม่ได้ บอดี้เลือกใช้ไม้ป็อปลาร์ ข้อดีของไม้นี้คือมีน้ำหนักเบา แต่เสียงจะออกโทนเสียงกลางมากกว่า และแตกต่างจากทรง Les Paul ปกติที่ใช้ไม้มะฮอกกานี

ส่วนคอนั้นยังคงเอกลักษณ์ของ Les Paul โดยใช้ไมะมะฮอกกานี ทำทรงคอแบบยุค 60 ขนาดไม่เล็กมาก แต่ไม่ได้ใหญ่จนเกินไป ฟิงเกอร์บอร์ดโรสวู้ด อินเลย์ลายจุด ตรงนี้ถือว่าช่วยเสริมความหนาของเสียงกีต้าร์ได้อย่างดี กับกีต้าร์ราคานี้แต่เลือกใช้วัสดุไม้ขนาดนี้ถือว่าค่อนข้างคุ้ม

เรื่องเสียงที่หลายคนสงสัย รุ่นนี้มาแปลกเพราะใช้ปิ๊กอัพเป็น Single-coil คือรุ่น 650SCR Ceramic Single-coil และ 700SCT Ceramic Single-coil ทำให้ซาวด์จะแตกต่างจากทรง Les Paul ปกติที่มักใช้ปิ๊กอัพแบบ Humbucker ปิ๊กอัพสองรุ่นนี้ให้โทนเสียงค่อนข้างบาง แต่ไม่ถึงขนาด Single-coil ปกติ เล่นเพลงร็อคหนักๆอาจไม่โดนมาก แต่ถ้าเป็นป็อปร็อคนี่สอบผ่านสบาย

เรื่องอะไหล่และการดีไวด์ถือว่าทำได้ดีกับราคากีต้าร์ ปิ๊กอัพลวดลายแปลกตาซักนิดแต่ดูเป็นเอกลักษณ์ รูเสียบแจ็คจะอยู่เหนือปิ๊กอัพทำให้ดูแปลกๆไปนิด ทำสีสันสดใส เรียกว่าทั้งการดีไซด์และเสียงของกีต้าร์ออกไปแนวโทนป็อปมากกว่า ขาร็อคโหดๆอาจรู้สึกผิดหวังนิดๆ แต่ถ้าคนสอบสไตล์ป็อปแล้ว น่าจะโดนใจไม่น้อยกับซาวด์กีต้าร์และรูปทรง

ข้อดี

  • ราคาถูก
  • ซาวด์กลางๆ เล่นได้หลากหลาย
  • งานประกอบดี แบรนด์ดัง

ข้อเสีย

  • เสียงไม่ดุดัน เล่นเพลงเมทัลยังไม่ถึงใจ
  • เสียงแตกต่างจาก Les Paul ต้นฉบับพอสมควร

เหมาะสำหรับ

  • คนชอบทรง Les paul
  • คนมองหากีต้าร์ราคาเบาๆไว้เริ่มเล่น

บทสรุปกับกีต้าร์ไฟฟ้า Epiphone รุุ่น Les Paul SL ต้องบอกว่าทำมาเอาใจผู้มีงบน้อยอย่างชัดเจน สำหรับสาวกทรงนี้คงต้องทำใจเล็กๆว่ารายละเอียดจะไม่เหมือนทรง Les paul รุ่นใหญ่ๆที่เรารู้จักกันดี แต่ถ้าคิดในแง่ราคาก็ถือว่าทำออกมาได้ดีและคุ้มค่ามากพอสมควร เพื่อนๆคนไหนที่ชื่นชอบทรงนี้หรืออยากได้กีต้าร์ดีๆ แบรนด์เชื่อถือได้ไว้ใช้งานก็น่าจับจองเป็นเจ้าของอย่างมาก เพราะ Musicarms ลองแล้วดีจึงมาบอกต่อ และเพื่อนๆสามารถซื้อกีต้าร์รุ่นนี้ได้ที่ร้านของเราโดยตรงเลยนะครับ หากยังไม่แน่ใจสามารถเดินเข้ามาลองได้ ทาง Musicarms ยินดีให้บริการเพื่อนๆนักดนตรีทุกคนเสมอครับผม

รีวิวกีต้าร์ไฟฟ้า Gibson รุ่น SG Standard 2018

สำหรับกีต้าร์ Gibson SG Standard 2018 นี้ ยังคงใช้วัสดุเกือบทั้งหมดคล้ายคลึงกับปี 2017 บอดี้ทรง SG ทำจากไม้มะฮอกกานีเช่นเดียวกัน แต่ของปี 2018 ปรับมาใช้ไม้แบบแผ่นเดียว ต่างจากปี 2017 ที่ใช้ไม้ มะฮอกกานี 3 ชิ้นประกบกัน มี 3 สีให้เลือกคือ Heritage Cherry, Autumn Shade และ Ebony โดยสี Autumn Shade เป็นสีที่ผลิตมาใหม่ในปีนี้

ส่วนคอนั้นไม่แตกต่างจากปี 2017 ใช้คอเป็นไม้มะฮอกกานี ฟิงเกอร์บอร์ดโรสวู้ด จำนวน 22 เฟรต ขนาด Medium เช่นเดียวกัน ตัว Nut ทำจากวัสดุ Tektoid เป็นพลาสติกสังเคราะห์ผสมยาง Tektoid มีข้อดีตรงที่จะ ช่วยเพิ่มเสียง Sustain ให้ยาวมากขึ้น ตรงนี้ช่วยเสริมจุดเด่นของ Gibson มากขึ้นไปอีก

จุดที่มีการปรับแต่งในปี 2018 คือตัวปิ๊กอัพ SG Standard 2018 ปรับมาใช้รุ่น 61R ในส่วนปิ๊กอัพคอ และ 61T ในส่วนปิ๊กอัพบริดจ์ จากของเดิมที่ใช้เป็นรุ่น 57 Classic ตัวเลข 61 ข้างหน้าคือปี 1961 ซึ่งเป็นปีที่ทาง Gibson ปรับมาใช้ปิ๊กอัพแบบแม่เหล็ก Alnico V เป็นครั้งแรก ปิ๊กอัพรุ่นนี้เด่นที่ย่านเสียงกลางและเสียงต่ำหนักแน่น ให้ซาวด์พุ่งแรง เรียกว่าเปลี่ยนโฉมจากเสียงคลาสสิคปี 57 มาเป็นสายร็อคหนักๆเต็มตัว

เรื่องอะไหล่นั้นทาง Gibson ยังคงรูปแบบเดิมที่ได้รับความนิยมสูงได้ ลูกบิดชุบโครเมี่ยมอย่างดี ปิ๊กการ์ดพลาสติกหนาถึง 4 ชั้น สวิทช์คอนโทรล 2 โวลุ่ม 2 โทน แยกการควบคุมปิ๊กอัพออกจากกนใช้งานง่าย ซีเล็คเตอร์ 3 ทางสุดคลาสสิค ตัวบริดจ์เป็น Stopbar ชุบโครเมี่ยมอย่างดี ถือว่าเก็บงานได้เนี๊ยบสมราคาแบรนด์ดัง

ข้อดี

  • บอดี้ทรงคลาสสิคมาตรฐาน
  • ซาวด์ร็อค หนา เสียงพุ่งชัด
  • แบรนด์ดังเชื่อถือได้ งานประกอบดี

ข้อเสีย

  • ราคาอาจจะแรงไปนิด

เหมาะสำหรับ

  • คนชอบกีต้าร์ทรง SG
  • คนชอบแบรนด์ Gibson
  • คนชอบกีต้าร์เสียงหนาๆ แนวร็อค

บทสรุปกับกีต้าร์ไฟฟ้า Gibson รุ่น SG Standard 2018 ก็ต้องถือว่าทำออกมาได้สมกับมาตรฐานแบรนด์ดังระดับโลกอย่างแท้จริง แม้ว่าจะมีการปรับโฉมไม่มากจากปี 2017 แต่เรื่องเสียงมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด มาปีนี้ต้องการตีตลาดชาวร็อคให้มากขึ้น ใช้ปิ๊กอัพเสียงพุ่งๆ ซึ่งถ้าใครเป็นสาวก Gibson หรือชอบทรง SG ก็ยังน่าซื้อมาเล่นหรือเก็บสะสมเช่นเดิม หากเพื่อนๆคนไหนสนใจก็สามารถติดต่อมาที่ร้าน Musicarms ของเราได้เลย SG Standard 2018 พร้อมให้เพื่อนๆเป็นเจ้าของอยู่ทุกเวลาที่ร้าน Musicarms ทั้ง 4 สาขาครับผม

รีวิวกีต้าร์โปร่ง Sigma รุ่น DR-28VE

อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่านี่คือกีต้าร์ซีรี่ย์วินเทจ การออกแบบดีไซด์เกือบทั้งหมดจะมาแนวย้อนยุคกันเล็กน้อย บอดี้ทรงเดร็ดน็อต ให้โทนเสียงกังวาน ซาวด์ออกเต็มทุกย่านเสียง โดยเฉพาะเสียงกลางและเสียงเบสที่โดดเด่น ทรงนี้เล่นได้กว้างมากจะตีคอร์ด, สตรัมคอร์ดแรงๆหรือฟิงเกอร์สไตล์ก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด

ไม้หน้านั้นเป็นไม้แท้แน่นอน โดยจะเป็นท็อปโซลิดซิทก้าสปรู๊ซ เป็นไม้ที่เมื่อก่อนนั้นใช้ทำกีต้าร์คลาสสิค ให้โทนเสียงใสอย่างยอดเยี่ยม เสียงแหลมค่อนข้างชัด ถือเป็นการเพิ่มเสียงแหลมที่ดีให้กับบอดี้ ดังนั้นซาวด์ของ DR-28VE จึงออกมาค่อนข้างเต็ม ด้านข้างและหลังเป็นไม้อินเดียนโรสวู้ดที่เริ่มหายาก ไม้ชนิดนี้ให้เสียงโทนเบสดี เสียงกีต้าร์อวบอิ่ม อบอุ่น

เรื่องงานประกอบนั้นหายห่วงได้คอไม้มะฮอกกานีคัดเกรดกันมาอย่างดี ฟิงเกอร์บอร์ดก็เป็นอินเดียนโรสวู้ด ให้เสียงหนาอบอุ่น งานอะไหล่เนี๊ยบ Nut ทำจากกระดูก Saddle ทำจากกระดูกสังเคราะห์ ยึดสายได้แน่นหนาและแข็งแรง ลูกบิดใช้แบรนด์ Grover ยี่ห้อลูกบิดเบอร์ต้นๆของโลก ถือเป็นการเอาใจใส่รายละเอียดกันได้อย่างดี

เรื่องเสียงนั้นบอกได้เลยว่าหายห่วง เพราะนี่คือรุ่นที่ทาง Sigma พิถีพิถันในงานประกอบ สามารถเอาไปออกงานดีๆหรือใช้ทำเพลงในห้องอัดสตูดิโอกันได้เลยทีเดียว ถ้าไม่เชื่ออยากให้มาลองเสียงกัน เพราะทาง Musicarms ลองแล้วต้องยกนิ้วให้กับเสียงที่มาเต็มทุกย่าน ซาวด์ชัด โน๊ตพุ่ง เล่นได้ทุกแนวเพลงจริงๆ

ข้อดี

  • เสียงดีมากๆ ออกงานสบาย
  • งานประกอบเนี๊ยบ สมราคา
  • ไม้หน้าท็อปโซลิด

ข้อเสีย

  • ราคาอาจจะสูงไปนิด

เหมาะสำหรับ

  • ผู้มองหากีต้าร์เสียงดีๆ
  • คนชอบกีต้ารืไม้หน้าแท้

บทสรุปกับกีต้าร์โปร่ง Sigma รุ่น DR-28VE สำหรับรุ่นนี้ทาง Musicarms บอกเลยว่าอยากให้มาลองเสียงที่ร้านมากกว่า เพราะจุดเด่นคือเรื่องซาวด์อย่างชัดเจน ตรงนี้ไม่สามารถบอกผ่านบทความได้ แต่รับประกันเลยว่า เสียงระดับออกงานห้องอัดได้นี่ไม่ธรรมดา ถ้าเพื่อนๆคนไหนต้องการมาลองเสียงหรืออยากซื้อกีต้าร์ Sigma เชิญมาได้ที่ร้าน Musicarms ทุกสาขาเลยนะครับ ทางเรายินดีให้บริการอย่างเต็มที่ เพราะ Musicarms คือมิตรของนักดนตรีทุกคนครับผม

รีวิวคีย์บอร์ด Yamaha รุ่น PSR-S975

ก่อนอื่นนั้นจะเห็นได้ว่าคีย์บอร์ดจะมีขนาดใหญ่ โดยจะมีแป้นคีย์มาให้ถึง 61 คีย์ รูปแบบคีย์มีทั้งแบบ Organ และ Initial Touch รองรับแรงสัมผัสนิ้วมือได้ถึง 5 ระดับคือ Hard1, Hard2, Medium, Soft1, Soft2 แตกต่างจากคีย์บอร์ดรุ่นอื่นๆที่ส่วนใหญ่จะมีแค่ 3 ระดับเท่านั้น ตรงนี้ทำให้ตัว PSR-S975 มีความแตกต่างกับรุ่นอื่นๆอย่างชัดเจน

เรื่องพลังเสียงขอบอกว่าหายห่วงเนื่องจาก Yamaha ใส่ลำโพงขนาด 15 ซม. มาให้ 2 ตัว กำลังขับลำโพง 15 วัตต์ ให้เสียงที่ชัดเจนและดังมากพอสำหรับเล่นคนเดียวหรือกลมกลืนกับเครื่่องดนตรีอื่นๆในสตูดิโอได้สบายๆ นอกจากนี้ยังใส่ลำโพงแบบโดมขนาด 2.5 ซม. มาเพิ่มให้อีกด้วย ช่วยในการขับเสียงกลางให้โดดเด่นมากขึ้นไปอีก แน่นอนว่ามีช่องเสียบหูฟังสำหรับผู้ต้องการความเป็นส่วนตัวให้พร้อม

ฟังก์ชั่นลูกเล่นต่างๆจัดเต็มมาเพียบ อย่างแรกที่เห้นชัดคือระบบ Sampling ในระบบ AWM Stereo ช่วยให้เสียงมีมิติและได้คุณภาพมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถดาวน์โหลดจังหวะไทยพื้นบ้าน Sampling เครื่องดนตรีพื้นบ้านอีสาน 6 ชนิด ได้แก่ พิณโปร่ง, พิณไฟฟ้า, โหวด, แคน, โปงลาง และ ซอ ใส่เพิ่มเติมเข้าไปอีกด้วย คอบคุมง่ายผ่านหน้าจอสี LCD แบบ Wide ขนาด 7 นิ้ว รองรับการใช้งานถึง 5 ภาษา

คีย์บอร์ดรุ่นนี้ได้ชื่อว่าเป็น Work Station สามารถทำเพลงได้โดยตรง ทำเสียงเปียโนต่างๆได้มากถึง 1090 เสียง พร้อมจังหวะกลองในตัวอีก 55 แบบ โดยจะมีปุ่มเลือกเสียงเพลงและจังหวะต่างๆที่ด้านหน้าคีย์บอร์ดเลย ทำมาได้เอนกประสงค์หาง่ายไม่ต้องกดเพิ่มเติมให้ยุ่งยาก โดยจังหวะต่างๆก็จะขึ้นบอกบนหน้าจอใช้งานง่าย

เรื่องเอฟเฟคมีมาให้ถึง 493 แบบ โดยหลักๆก็จะเป็น Chorus และ Reverb ตามปกติ ที่เพิ่มมาคือ Distortion หรือเสียงแตกของกีต้าร์ไฟฟ้า ซึ่งทาง Yamaha เน้นเลยว่าเป็น Real Effect หรือให้เสียงสมจริง เพราะใช้เทคโนโลยี Modeling (VCM) จำลองเสียงเอฟเฟคมา ทำให้การทำเพลงต่างๆมีความ Real มากขึ้น สมกับได้ชื่อว่าเป็น Work Station

มีฟังก์ชั่นทำเพลงก็ต้องมีระบบอัดเสียง โดยรุ่น PSR-S975 นี้สามารถอัดเพลงได้นานถึง 80 นาทีต่อ 1 เพลงเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเพลงบรรเลงหรือจะเล่นแนวมินิคอนเสิร์ตลงยูทูปก็ทำได้สบายๆในรูปแบบไฟล์ .wav ที่ความละเอียด 16 บิท และยังมีฟังก์ชั่นตัดเสียงร้องหรือใส่เสียงต่างๆเพิ่มเติมทีหลังหากไม่พอใจให้อีกด้วย สามารถเก็บเพลงใน USB ได้ เหมาะสำหรับคนชอบทำเพลงอย่างแท้จริง

ส่วนฟังก์ชั่นอื่นๆเช่นบทเรียน, เมโทรโนม, การต่อ Pedal และเพลงสาธิตนั้นยังมีมาให้เช่นเคยเหมือนรุ่นอื่นๆ เรียกว่าเป็นรุ่นนี้ทาง Yamaha เน้นไปที่”การใช้งานจริง”มากกว่าจะเป็นคีย์บอร์ดสำหรับซ้อมมือทั่วๆไป ใครที่ต้องการคีย์บอร์ดสำหรับการทำเพลงน่าจะชื่นชอบกับฟังก์ชั่นที่เสริมมาทั้งหมด เพราะบอกเลยว่าเครื่องเดียวจบจริงๆ ทำได้แทบทุกเสียงเครื่องดนตรีโดยเล่นตัวคนเดียว

ข้อดี

  • ฟังก์ชั่นการทำเพลงมาครบครัน
  • มีระบบ Sampling และยังมีเสียงเครื่องดนตรีไทย
  • เอฟเฟคที่หลากหลายและสมจริง
  • ระบบอัดเสียงที่เพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น

ข้อเสีย

  • มีราคาที่สูงพอสมควรสำหรับคนที่ใช้ฟังก์ชั่นไม่ครบ

เหมาะสำหรับ

  • นักดนตรีที่ต้องการทำเพลงในห้องอัด
  • ผู้มองหาคีย์บอร์ดที่ครบเครื่อง

บทสรุปกับคีย์บอร์ด Yamaha รุ่น PSR-S975 ถือว่าทำมาได้สมกับเป็นคีย์บอร์ดรุ่นใหญ่อย่างแท้จริง นอกจากเรื่องฟังก์ชั่นที่จัดเต็มมาให้โดยเฉพาะคนทำเพลงกันแท้ๆ เรื่องเสียงและรายละเอียดเล็กน้อยเช่นสัมผัสน้ำหนักนิ้วมือ 5 ระดับยังทำมาได้ดีและพิถีพิถันอีกด้วย เทียบกับราคาแล้วต้องบอกว่าคุ้มค่าอย่างแรงสมกับคำ Work Station ซึ่งหากใครอยากเป็นเจ้าของ หรือจะมาทดลองใช้งานก็เชิญได้ที่ร้าน Musicarms ทั้ง 4 สาขาเลยนะครับ ทางเรายินดีให้บริการแก่เพื่อนๆนักดนตรีทุกคนอย่างเต็มที่ พร้อมให้คำปรึกษาและหาเครื่องดนตรีที่เพื่อนๆต้องการ ถ้าคิดถึงเรื่องเครื่องดนตรี ขอให้คิดถึงเรา Music Arms

รีวิวแอมป์เบส Warwick รุ่น BC-10/20

สิ่งแรกที่เห็นได้ชัดคือดีไซด์สวยงามกะทัดรัดแข็งแรง ด้านบนจะเป็นที่จับพร้อมหิ้วไปได้ทุกที่ ส่วนด้านหน้าเป็นตะแกรงเหล็ก ป้องกันการกระแทกและฝุ่นละลอง สำหรับรุ่น BC-10 นั้นจะมีกำลังขับลำโพงที่ 10 วัตต์ ส่วนรุ่น BC-20 จะมีกำลัง 20 วัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับการซ้อมคนเดียวในห้องส่วนตัวได้สบายๆ หรือบางทีจะนำไปเล่นในงานปาร์ตี้เล็กๆก็ยังได้

ตัวลำโพงนั้นทั้งสองรุ่นใช้ขนาด 8 นิ้ว รุ่น Warwick Custom เป็นลำโพงที่ทาง Warwick คิดค้นเพื่อมาเพื่อรองรับเสียงเบสเต็มที่ โดยที่เปิดดังแล้วเสียงไม่บวมหรือลำโพงเสียงไม่แตก ตอบสนองต่อเสียงเบสได้อย่างดีเยี่ยม ซาวด์ค่อนข้างพุ่ง ชัด เสียงเบสไม่บวมและได้มาตรฐาน โดยจะมีมีระบบ DDL ตัดเสียงแตกที่เกิดจากการเปิดเสียงดังให้ด้วย งานนี้เปิด Volume สุดได้เต็มที่

นอกจากจะมีระบบ DDL ตัดเสียงแตกที่เกิดจากการเปิดเสียงดังแล้ว ภาคปรีแอมป์ยังมีระบบลดเสียงรบกวร หรือเสียงจี่อีกด้วย งานนี้ทาง Warwick คำนึงถึงผู้ใช้อย่างมากแม้ว่าจะเป็นแอมป์รุ่นเล็กราคาถูกแต่ใส่ฟังก์ชั่นมาแบบนี้ รับรองว่าได้ใจลูกค้ากันเต็มที่ รวมถึงมีระบบทำความเย็น ภายในคาบิเนท ไม่มีเสียงพัดลม ทำให้การทำงานของแอมป์เงียบ

ความพิเศษและจุดเด่นของ 2 รุ่นนี้คือ มี 2 ช่องเสียบ Active และ Passive  สามารถเลือกเสียบเบสได้ตามประเภทใช้งานได้เลย หรือจะเสียบพร้อมกัน 2 ตัวก็ได้ แต่เสียงจะออกลำโพงเดียวกันและตีกัน ตรงนี้เหมาะสำหรับการเรียนหรือเล่นตามกันมากกว่า แต่ก็ถือเป็นฟังก์ชั่นที่ยอดเยี่ยมคุ้มค่าเกินราคา รวมถึงสามารถปรับ EQ ได้อีก 3 แบนด์ด้วย

เรื่องการเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ต่างๆนั้นหายห่วง เพราะมีทั้งช่องเสียบหูฟัง โดยให้สัญญาณสเตอริโอจากช่อง AUX รวมถึงมีช่องเสียบ AUX แบบสเตอริโอ , มีช่องเสียบ MP3 แบบมินิ จะซ้อมคนเดียวเงียบๆชิลๆ หรือจะซ้อมแบบมีเสียงเพลงคลอไปด้วยก็ทำได้ กับแอมป์เบสราคาไม่ถึง 5000 บอกเลยว่าไม่มีคุ้มค่ากว่านี้อีกแล้ว

ข้อดี

  • ฟังก์ชั่นการใช้งานครบครัน
  • 2 ช่องเสียบ Active และ Passive
  • เสียงเบสมาเต็ม เปิดดังเสียงไม่ค่อยแตก

ข้อเสีย

  • ไม่มีเอฟเฟคในตัว

เหมาะสำหรับ

  • ผู้มองหาแอมป์ซ้อมราคาถูกๆ
  • คนต้องการแอมป์เบสเสียงดีๆ

บทสรุปกับแอมป์เบส Warwick รุ่น BC-10/20 ถือว่าเป็นแอมป์เบสที่คุ้มจริงๆกับฟังก์ชั่นที่ได้รับ ดีจนต้องมาบอกต่อเพราะเทียบกับแอมป์ที่ราคาเท่ากันนั้นไม่มีรุ่นไหนครบเครื่องกว่านี้อีกแล้ว ยิ่งถ้าเป็นตัว BC-10 นั้นแค่ 3000 กว่าๆเท่านั้น ราคาไม่ต่างกับแอมป์โนเนมเลย แต่นี่ได้แบรนด์ดังมีคุณภาพ ดังนั้นใครที่กำลังมองหาแอมป์เบสรุ่นเล็กๆอยู่ รีบเดินเข้ามาที่ร้าน Musicarms นะครับ เพราะทางเราจำหน่ายแอมป์เบสทั้ง 2 รุ่นนี้ รวมถึงรอให้เพื่อนๆได้มาทดลองฟังเสียงก่อนเพื่อความพอใจ ถ้าคิดถึงเครื่องดนตรีดีๆ ขอให้คิดถึงเรา Musicarms เป็นเจ้าแรกนะครับ

รีวิวคีย์บอร์ด Korg รุ่น Krome 61

การดีไซด์นั้นทำออกมาได้ทันสมัยสมกับเป็นแบรนด์ชั้นนำด้านเทคโนโลยี ให้หน้าจอ LCD ขนาด 7 นิ้ว ความคมชัด 800X480 พิกเซล เป็นระบบออนบอร์ด ควบคุมง่ายผ่านหน้าจอ โดยจะแสดงผลฟังก์ชั่นปัจจุบันที่ใช้งานอยู่ การเชื่อต่อนั้นครบครันทั้งช่องเสียบ Output แบบโมโนขนาด 6.3 มม, ช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. แบบสเตอริโอ และช่องเสียบ USB แบบ B

แป้นคีย์ให้มา 61 คีย์ เพียงพอต่อการเล่นเพลงในระดับสูงๆได้แทบทุกเพลง สามารถใช้งานได้ทั้งมืออาชีพที่ใช้อัดเพลงหรือผู้เริ่มต้น ระดับคีย์ตั้งแต่ C2-C7 สามารถปรับเพิ่มลดได้ 1 อ็อคเตป โดยจะเป็นแป้นที่ไวต่อการสัมผัส ช่วยในการเล่นคีย์บอร์ดให้ไวขึ้น เรื่องเสียงนั้นหายห่วงเพราะทาง Korg คิดเทคโนโลยี EDS-X ปรับความคมชัดของเสียงสังเคราะห์ให้ดีขึ้น ซาวด์สมจริง

อย่างที่เกริ่นไปว่าเป็น Work Station ดังนั้นเรื่องฟังก์ชั่นต้องจัดเต็มกันมาอย่างแน่นอน ที่ดูจะพิเศษกว่าเพื่อนคือซาวด์กลองที่ให้มามากถึง 2080 แบบ นับว่าเยอะสุดในบรรดาคีย์บอร์ด 61 คีย์แล้ว เสียงก็มากถึง 583 เสียง โดยมีทั้งแบบ Mono และสเตอริโอ ใช้งานกันได้เต็มที่ ทำเพลงได้แทบทุกแนว

นอกจากเรื่องเสียงกลองและเสียงคีย์บอร์ดแล้ว รุ่นนี้ยังบรรจุเสียงร้องถึง 16 แบบมาให้เลือกใช้งาน เรียกว่าทำเพลงกันได้ครบเครื่อง ใส่เมมโมรี่ที่มีความจุมากถึง 3.8 Gb ที่ความชัด 16 บิท ซาวด์เยี่ยม มีโปรแกรม Oscillator และระบบกรองเสียงเพิ่มมาให้ปรับแต่งอีกด้วย เมื่อรวมกับการแต่ง EQ ได้ 3 แบนด์ ทำให้การควบคุมซาวด์เป็นอย่างใจนึก

การตั้งค่าต่างๆทำได้ง่ายผ่านแป้นควบคุมหน้าจอโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นเสียงเอฟเฟค หรือเสียงกลอง สามารถเก็บ Preset พร้อมเรียกใช้งานได้มากมาย รวมถึงต่อพ่วงแป้นเหยียบแบบเปียโนได้อีกด้วย และที่หลายคนถามหาคือระบบ MIDI ซึ่งทาง Korg ใส่มาให้ใช้งานในรุ่นนี้ ทำการเก็บเพลงแก้ไขเพลงได้ นับว่าสุดล้ำจริงๆ

ข้อดี

  • ฟังก์ชั่นการใช้งานเพียบ
  • เสียงกลองและเอฟเฟคมากมาย
  • การทำเพลงง่าย จบในเครื่องเดียว
  • มีระบบ MIDI

ข้อเสีย

  • ฟังก์ชั่นต่างๆสำหรับผู้เริ่มต้นน้อย เช่นบทเรียน

เหมาะสำหรับ

  • ผู้มองหาคีย์บอร์ดไว้ทำเพลง
  • มืออาชีพที่ต้องใช้คีย์บอร์ด 61 คีย์

บทสรุปกับคีย์บอร์ด Korg รุ่น Krome 61 ถือเป็นคีย์บอร์ดที่ทำออกมาได้ล้ำสมัยอย่างแท้จริง ซาวด์ดีลูกเล่นเพียบ เหมาะกับการใช้งานในทุกๆด้านโดยเฉพาะการทำเพลง ใครที่ต้องการคีย์บอร์ดแบบ 61 คีย์น่าจะชื่นชอบเพราะฟังก์ชั่นค่อนข้างเหนือรุ่นอื่นในราคาเดียวกัน จึงไม่แปลกที่มักจะติดชื่อรุ่นที่ถูกแนะนำมากที่สุด หากใครต้องการซื้อคีย์บอร์ดรุ่นนี้ก็เชิญได้ที่ร้าน Music Arms ทุกสาขากันเลย ทางทีมงานของเรายินดีให้บริการอย่างเต็มที่เพื่อที่เพื่อนๆจะได้รับสิ่งดีๆในทุกๆครั้งที่มาใช้บริการร้าน Music Arms ครับ

รีวิวกีต้าร์ไฟฟ้า Gibson รุ่น Les Paul Traditional 2018

สำหรับกีต้าร์ Gibson Les Paul Traditional 2018 นี้ ยังคงใช้วัสดุเกือบทั้งหมดคล้ายคลึงกับปี 2017 บอดี้ทรง Les Paul ทำจากไม้มะฮอกกานีเช่นเดียวกัน โดยมีไม้หน้าเป็นไม้เมเปิ้ลเกรด AA ปะหน้าเพื่อให้ได้ซาวด์ที่ผสมผสานกันลงตัว ไม่หนามากจนเกินไป สำหรับปี 2018 นี้จะมีสี Tobacco Sunburst มาให้เลือกเพิ่มอีก 1 สี โดยสี Antique Burst ที่ผลิตในปี 2017 จะไม่มี

ส่วนคอนั้นไม่แตกต่างจากปี 2017 ใช้คอเป็นไม้มะฮอกกานี ฟิงเกอร์บอร์ดโรสวู้ด จำนวน 22 เฟรต ขนาด Medium เช่นเดียวกัน ตัว Nut ทำจากวัสดุ Tektoid เป็นพลาสติกสังเคราะห์ผสมยาง Tektoid มีข้อดีตรงที่จะ ช่วยเพิ่มเสียง Sustain ให้ยาวมากขึ้น ตรงนี้ช่วยเสริมจุดเด่นของ Gibson มากขึ้นไปอีก ทรงคอปี 2018 นี้มีการปรับมาเป็นแบบ Rounded จะอ้วนขึ้นเล็กน้อยในแบบคลาสสิค

สำหรับปิ๊กอัพยังคงใช้รุ่น BurstBucker 1 และ BurstBucker 2 เช่นเคย ให้โทนเสียงพุ่งแรงในสไตล์ชาวร็อค เนื่องจากได้ปิ๊กอัพชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างสูง สิ่งที่เพิ่มมาในรุ่นปี 2018 คือตัวปุ่ม Tone จะเป็นสวิทช์ capacitors ตัวนี้จะมีไว้เพิ่มความถี่เสียงสูงหรือพูดง่ายๆก็คือเพิ่มเสียงแหลมนั่นเอง ถือเป็นอีกจุดเด่นสำหรับคนที่ชอบเสียงโทนแหลมหรือเสียงคลีนใสๆ ทำให้ซาวด์ของ Les Paul Traditional 2018 นั้นแปลกจากของเดิมไปเล็กน้อย

เรื่องอะไหล่นั้นทาง Gibson ยังคงรูปแบบเดิมที่ได้รับความนิยมสูงได้ ลูกบิดชุบนิกเกิ้ลอย่างดี ปิ๊กการ์ดพลาสติกหนาถึง 4 ชั้น สวิทช์คอนโทรล 2 โวลุ่ม 2 โทน แยกการควบคุมปิ๊กอัพออกจากกนใช้งานง่าย ซีเล็คเตอร์ 3 ทางสุดคลาสสิค ตัวบริดจ์เป็น Stopbar ชุบโครเมี่ยมอย่างดี ถือว่าเก็บงานได้เนี๊ยบสมราคาแบรนด์ดัง

ข้อดี

  • บอดี้ทรงคลาสสิคมาตรฐาน
  • ซาวด์ร็อค หนา เสียงพุ่งชัด
  • แบรนด์ดังเชื่อถือได้ งานประกอบดี

ข้อเสีย

  • ราคาอาจจะแรงไปนิด

เหมาะสำหรับ

  • คนชอบกีต้าร์ทรง Les Paul
  • คนชอบแบรนด์ Gibson
  • คนชอบกีต้าร์เสียงหนาๆ แนวร็อค

และนี่คือกีต้าร์ Gibson ที่ได้ชื่อว่าเป็นที่หมายมองของมือกีต้าร์มากมาย ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกก็ถือว่ากินขาดทรง Les Paul อื่นๆแล้ว ถ้าได้มาลองเสียงจะรู้เลยว่าความคลาสสิคของ Les Paul เป็นยังไง สำหรับกีต้าร์ Gibson Les Paul Traditional 2018 รวมถึง Gibson รุ่นอื่นๆ เพื่อนสามารถเดินเข้ามาลองเสียงรวมถึงสั่งซื้อได้ที่ร้าน Musicarms ทุกสาขาเช่นเคย เพราะทางเราคือตัวแทนจำหน่ายอย่างถูกต้อง มั่นใจได้เลยว่าได้ของแท้คุณภาพดีกลับไป รับรองว่าไม่มีผิดหวังจากใจทีมงาน Musicarms ครับผม

ประเภทของเบส Passive / Active แตกต่างกันอย่างไร

เบส ระบบ Passive และ Active จริงๆแล้วคือระบบการจ่ายไฟให้กับตัวปิ๊กอัพนั่นเอง ระบบ Passive นั้นไม่จำเป็นต้องใช้ไฟในการเลี้ยงวงจร ส่วนระบบแบบ Active จำเป็นต้องการไฟที่จะเลี้ยงวงจร ระบบทั้ง 2 แบบ มีข้อดีและข้อเสียด้วยกันทั้งแบบ มาดูกันว่าแบบไหนที่ใช่สำหรับคุณ

Bass Passive vs Active

เบสแบบ Passive
เบสที่มีปิ๊กอัพแบบ Passive อย่างที่ได้กล่าวไปนั้นว่าเป็นระบบที่ไม่ต้องการไฟเลี้ยงวงจร เพราะฉนั้นข้อดีข้อแรกเลยคือไม่ต้องใส่ถ่าน เราสามารถที่จะเสียบตู้แอมป์แล้วเล่นได้ทันที จุดเด่นของระบบ Passive คือจะให้เสียงที่ออกมาจากตัวเบส 100 % ไม่ว่าจะเป็นจาก Body, Neck หรือ PU ซึ่งต่างจากระบบ Active ที่ส่วนใหญ่ เสียงจะมาจาก PU หรือภาค Pre ของเบส ทำให้คาเลคเตอร์ของเบสตัวนั้นๆ จะค่อนข้างชัดเจน ส่วนข้อเสียนั้น ในระบบแบบ Passive การปรับแต่งเสียงจะปรับไม่ได้กว้างมากนัก และจะมี Output ที่จะเบากว่า ระบบแบบ Active

Bass Passive

เบสแบบ Active 

เบสแบบระบบ Active จะตรงกันข้ามกับระบบ Passive ที่ต้องการไฟไปใช้ในการเลี้ยงวงจร จึงจำเป็นต้องมีช่องสำหรับใส่ถ่าน 9V ( บางรุ่นต้องใส่ 2 ก้อน ) และนี่คือข้อเสียข้อแรกของเบสแบบ Active เพราะถ้าหากไม่ใส่ถ่านหรือถ่านหมด จะไม่สามารถใช้งานได้ ลองคิดดูว่าหากกำลังเล่นอยู่บนเวที แล้วถ่านดันหมดกลางคันขึ้นมาคงจะวุ่นวายน่าดู แต่ถ้าจะให้พูดถึงข้อดีนั้น เบสแบบ Active ก็มีข้อดีมากมาย คือ ความหลากหลายในการปรับแต่งเสียง เรียกได้ว่าสามารถเล่นได้ทุกแนวเพลงเลยทีเดียว 

Bass Active

โดยระบบ Active นั้นจะมี 2 แบบคือ Active ที่ภาค Pre และ Active ที่ PU ทั้ง 2 แบบจะได้ข้อดีที่ต่างกัน โดยเบสที่มี Active ที่ ภาค Pre นั้นจะมีข้อดีคือไม่เลือกแอมป์ เพราะไม่ว่าจะเจอแอมป์ประเภทไหน เราสามารถปรับ EQ จากตัว Pre ของเบส เพื่อให้ได้เสียงที่เราต้องการได้ ส่วนเบสที่ Active ที่ PU จะได้ Output ที่แรง ดุดัน และเสียงที่ชัดเจน เรียกได้ว่าไม่ต้องกลัวเสียงจมกันเลยทีเดียว

Bass Active Passive

สรุป

ทั้งเบสแบบ Passive หรือ Active มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับที่เราต้องการคาเลคเตอร์ของเบสแบบไหนไปใช้งาน อยากได้กว้างๆ เสียงดุๆ เลือก Active อยากได้ความ Vintage เลือก Passive ได้เลยครับผม